เพนกวิน ร่ายยาว การที่ศาลฯ ตัดสิน ณัฐชนนท์ ผิด ม.112 ถือเป็นการใช้อำนาจตัดสินคนเห็นต่างตามอำเภอใจ
ผู้สื่อข่าวโตโจ้นิวส์รายงานว่า เพนกวิน พริษฐ์ ชิวารักษ์ แกนนำกลุ่มราษฎร โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า
กรณีล่าสุดที่ศาลอุทธรณ์ตัดสินให้ณัฐชนน ไพโรจน์มีความผิดตามมาตรา 112 นั้นถือว่าเป็นอีกครั้งที่ศาลใช้อำนาจตัดสินคนเห็นต่างทางการเมืองตามอำเภอใจไร้หลักเกณฑ์ที่สุด เพราะในกรณีนี้แต่แรก ณัฐชนนถูกตั้งข้อหาว่าทำผิดกฎหมายมาตรา 112 เพราะ (ตามที่ถูกกล่าวหาว่า) ขนสมุดปกแดง ซึ่งมีเนื้อหาเป็นคำปราศรัยเรียกร้องปฏิรูปสถาบัน ฯ ขึ้นรถบรรทุก จึงถือว่าเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิดมาตรา 112
เหตุผลที่ศาลใช้ตัดสินว่าณัฐชนนเป็นผู้สนับสนุนเพราะเห็นว่าณัฐชนนเป็นหนึ่งใน “ผู้จัดการชุมนุม” ซึ่งถือเป็นการให้เหตุผลที่ใช้ไม่ได้เลยและไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง เพราะ
1) การครอบครองหรือขนย้ายหนังสือนั้น ไม่ใช่ความผิดอะไรในตัว ไม่ว่าหนังสือจะมีเนื้อหาอย่างไร ความผิดไม่เกิดจะตัดสินความผิดกันอย่างไร
2) การใช้บทบาทการเคลื่อนไหวทางการเมืองอื่น ๆ มาตัดสินเป็นการใช้เรื่องนอกคดีมาตัดสิน เป็นการใช้อคติของศาล
3) การปราศรัยวันที่ 10 สิงหาคมซึ่งถ้อยคำในการปราศรัยได้กลายมาเป็นเนื้อหาของหนังสือนั้น ไม่ได้มีการตัดสินจากศาลใดว่ามีความผิดเป็นสถานใด แล้วจะหาว่าเป็นหนังสือผิดกฎหมายได้อย่างไร
4) ท้ายที่สุด ณัฐชนนไม่ได้เป็นเจ้าของหนังสือ และไม่ได้เป็นคนแต่งหนังสือเหล่านั้น
การตัดสินของศาลอุทธรณ์ครั้งนี้เป็นการใช้ความเห็นส่วนตัวของศาลตัดสินคดีอย่างกว้าง ซึ่งขัดกับหลักการพื้นฐานของคดีอาญาว่าจะต้องใช้ดุลยพินิจอย่างแคบ เพราะการใช้ดุลยพินิจกว้างขวางสุ่มเสี่ยงต่อการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างมาก
อคติของศาลที่่เห็นได้ชัดก็ที่สุดคือส่วนที่ไม่รอลงอาญาเพราะเห็นว่าจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชื่อดังจึงต้อง “รู้ผิดชอบชั่วดี“ เหตุผลแบบนี้ี้สะท้อนจุดยืนทางการเมืองของศาลชัดเจนโจ่งแจ้งไม่ต้องบรรยาย ผมไม่อาจพูดแทนณัฐชนนท์ได้ แต่ในฐานะที่จบการศึกษามาจากมหาวิทยาลัยเดียวกัน ก็จะจะขอบอกศาลในนามส่วนตัวผมว่าก็เพราะเรารู้ผิดชอบชั่วดี เห็นว่าประเทศชาติจะไปต่อไม่ได้หากยังมีสถาบันที่มีอำนาจเหนือรับฐธรรมนูญคอยแทรกแซงประชาธิปไตยเหมือนที่เป็นมา ถึงได้ออกมาเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบัน ฯ
นอกจากคำตัดสินนี้จะขัดสามัญสำนึกทางกฎหมาย ยังเป็นการใช้อคติตัดสินว่าณัฐชนนเป็นแกนนำการชุมนุมจึงสมควรถูกลงโทษ เป็นตัวอย่างที่แสดงได้ชัดว่าการดำเนินคดีมาตรา 112 ที่เป็นมาเป็น #คดีการเมือง ไม่ใช่ #คดีอาญา และไม่่อยู่ในร่องในรอยการพิจารณาคดีอาญาอันพึงเป็น
ท้ายที่สุด นี่คือการดำเนินคดีด้วยเรื่อง #หนังสือ อันนี้เป็นวัตถุแห่งปัญญา ไม่เพียงแต่จะเป็นการลงโทษคนที่มีหนังสือแต่เป็นการลบล้างหนังสือไม่ให้คนอ่าน นับเป็นการปราบปรามปัญญาและความคิดเห็นโดยแท้ ไม่ต่างอะไรกับที่รัฐเผด็จการนิยมเผาหนังสือหรือแบนหนังสือที่แสดงความคิดเห็นไม่ตรงกับความเชื่อทางการของรัฐ
จึงต้องบันทึกไว้ว่ากรณีนี้คือหนึ่งในกรณีที่ศาลอยุติธรรมใช้อำนาจตัวเองปราบปรามฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง ซึ่งเกิดขึ้นตลอดมา และจะเกิดขึ้นต่อหากยังไม่มีการ #ยกเครื่อง ปฏิรูปกฎหมาย การเมือง และสถาบันกษัตริย์กันอย่างจริงจัง
#เพื่อไม่พลาดข่าวสารดีๆ อย่าลืมกดติดตามพวกเรา TOJO NEWS