ศิริโชค โสภา โต้กลับ! มีคนบางกลุ่ม พยายามสร้างภาพว่าผมไม่มีผลงาน ทั้งที่ความจริงตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
ผู้สื่อข่าวโตโจ้นิวส์รายงานว่า นายศิริโชค โสภา อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า…
“ไม่มีผลงาน” คำกล่าวหาที่ฟังดูง่าย แต่เจ็บลึก…
ผมเคยคิดว่า ความจริงจะพูดแทนตัวมันเอง
แต่เมื่อเจอกับกระแสบิดเบือน ซ้ำเติม ปลุกปั้นเรื่องเท็จซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมก็รู้ว่า…ถึงเวลาแล้วที่ผมต้องพูด
มีคนบางกลุ่ม พยายามสร้างภาพว่าผมไม่มีผลงาน ทั้งที่ความจริงตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
แม้ผมจะได้อยู่ในรัฐบาลแค่ สองปีครึ่ง — ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่ประเทศเจอกับวิกฤตทางการเมือง มีการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มคนเสื้อแดง
แต่ผมกลับ ผลักดันนโยบายสำคัญ ให้เกิดขึ้นจริงได้มากมาย หนึ่งในนั้นคือการผลักดันให้นาทวีมีสถานะเป็นจังหวัดย่อย เราได้ทั้ง ด่านประกอบ ศาลจังหวัด สำนักอัยการ และเรือนจำ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้มาจากคำพูด แต่มาจากการผลักดันอย่างจริงจัง ในขณะนั้น
ถ้าเทียบกับนักการเมืองสมัยนี้ หลายๆคนที่ได้เป็นรัฐบาลแค่สมัยเดียว แต่ก็ถูก ป.ป.ช. ชี้มูลทุจริต เพราะเอาเแต่ทำถนนแล้วอ้างว่าเป็นผลงาน ทั้งที่ในความเป็นจริงคือการ หาผลประโยชน์เข้ากระเป๋าตัวเอง
แบบนี้…ใครกันแน่ที่ควรถูกถามว่า “มีผลงานจริง หรือแค่มีป้ายชื่อในโซเชียล?”
ช่วงที่ประเทศเจอกับวิกฤตเศรษฐกิจแฮมเบอร์เกอร์ ผมเป็นคนเร่งผลักดันงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ ลงเกือบทุกหมู่บ้าน ถนนในหลายพื้นที่วันนี้ ยังเป็นผลพวงจากการทำงานในวันนั้น
ตลอด 4 สมัยที่ผมเป็น ส.ส. ผม จัดสรรงบประมาณปีละ 30–40 ล้านบาท ลงสู่พื้นที่ โดยไม่เคยขายโครงการหรือรับค่าคอมมิชชั่นแม้แต่ครั้งเดียว
ผม ไม่เคยติดชื่อบนป้ายโครงการ เพราะเชื่อว่า เงินภาษีคือของพี่น้องประชาชน ไม่ใช่ของนักการเมือง
ผมรู้ว่า…การไม่เล่นการเมืองแบบเอาหน้า มันอาจไม่สะใจคนบางพวกที่ชอบขายฝัน
แต่ผมเลือกทำงานอย่างเงียบ ๆ เพราะผมเชื่อว่า “ผลงานจริง ไม่ต้องตะโกน”
แม้ช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา ผมจะอยู่ในฝั่งฝ่ายค้าน ผมก็ยังทำหน้าที่ อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลอย่างตรงไปตรงมา
ผมได้รับเลือกให้เป็น “ดาวสภา” คนแรกและคนเดียวของพรรคประชาธิปัตย์ — เพราะผมไม่เคยกลัวที่จะพูดความจริงในสภา
และหลังการรัฐประหาร ผมถูกจับเข้าค่ายทหาร ถูกขึ้นบัญชีดำ ห้ามเดินทาง ห้ามทำกิจกรรมทางการเมืองนานหลายปี ทั้งที่ช่วงนั้น ในพื้นที่ไม่มีแม้แต่ ส.ส. ไปดูแลประชาชน
แต่วันนี้ กลับมีคนใช้ช่วงเวลานั้นมาโจมตี ว่าผม “หายไป” ทั้งที่ความจริงคือ ผมโดนระบบปิดปากเพราะความยืนหยัดในหลักการ
คนที่เลือกจะ บิดเบือนความจริง เพื่อสร้างภาพให้ตัวเองดูดี โดยเหยียบย่ำความทุ่มเทของคนอื่น สมควรได้รับการตัดสินจากประชาชน
ไม่ใช่ด้วยคำพูด แต่ด้วยความรู้สึก…ว่าเราควรให้โอกาสคนที่ “พูดน้อยแต่ทำจริง” หรือคนที่ “ทำแต่ป้ายในโซเชียลแล้วพูดว่าเป็นผลงาน”?