ทนายสุกิจ จี้ ตำรวจยโสธรดำเนินคดี “หมอปลา” หากไม่ดำเนินการระวังละเว้นปฏิบัติหน้าที่
ผู้สื่อข่าวโตโจ้นิวส์รายงานว่า นายสุกิจ พูนศรีเกษม ทนายความชื่อดัง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “สุกิจ พูนศรีเกษม” ถึงกรณีหลวงปู่แสง โดยระบุข้อความว่า
“ตามประวัติถือว่าเป็นพระเกจิชื่อดังและพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบของคนอีสาน ทั้งยังเป็นศิษย์หลวงปู่มั่น พระอาจารย์ฝั้น ที่คนอีสานศรัทธาอย่างสูงด้วย เหนืออื่นใด ต้องไม่ลืมด้วย ว่าท่านไม่อาจแก้ข้อกล่าวหา ปกป้องตัวเองเรื่องนี้ได้ ก็ยิ่งต้องให้ความเป็นธรรมอย่างสูง อย่าคิดว่าบาปกรรมไม่มีจริง
เมื่อพิจารณาคลิปจากสื่อมวลชนจะเห็นได้ว่ามีนักข่าวหญิงไร้สังกัดคนหนึ่ง กับภรรยาสาวสวยของหมอปลา ขณะใช้วาจาไม่สุภาพกับพระนั้น หลวงปู่แสงนั่งนิ่ง แต่หลวงปู่น่าจะรับรู้ได้จากจิตสัมผัสว่ามีผู้มาก่อกวน จะโยนพระให้ และไล่ออกจากวัดนั้น นักข่าวสาวปากจัดและภรรยาอันแสนสวยของหมอปลาและหมอปลาพยายามเค้นความจริงจากหลวงปู่แสง ทั้งที่ตนเองไม่มีหน้าที่ตามกฎหมายอะไรเลยที่จะกระทำได้
ความผิดดังกล่าวไม่ใช่ความผิดซึ่งหน้าที่หลวงปู่แสงได้กระทำต่อหญิงนั้นต่อหน้าหมอปลาและภรรยาและนักข่าวสาวกับพวก หมอปลาและภรรยา และทนายคู่ใจนั้น จึงเป็นเพียงพยานบอกเล่า เมื่อหลวงปู่ไล่หมอปลากับพวกออกจากวัดแต่หมอปลากับพวกยังไม่ยอมออกไปจากวัด และยังใช้สื่อมวลชนกดดัน ตามที่ตนเองตั้งใจไว้ การกระทำนั้นย่อมเป็นความผิดทางอาญา ฐานข่มขืนใจผู้อื่น อันเป็นความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพ และความผิดฐานอื่นที่เป็นอาญาแผ่นดิน โดยมีเหตุฉกรรจ์
หลวงปู่แสง หรือลูกศิษย์ ย่อมมีอำนาจตามกฎหมายที่จะไปแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ยโสธรดำเนินคดีหมอปลากับพวกตามคลิป ที่ได้ใช้วาจาไม่สุภาพกับหลวงปู่ในลักษณะบังคับให้สึก โดยไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นว่าหลวงปู่กระทำผิด นั้นเป็นเรื่องที่ร้ายแรง
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อหญิงสาวที่อ้างว่าถูกหลวงปู่กระทำนั้น ก็เป็นเพียงกล่าวอ้างลอยๆ ไม่มีใครรู้เห็นเหตุการณ์ และหญิงสาวก็ยอมรับในรายการโหนกระแส ไม่มีใครเห็นเพราะหลวงปู่ตัวใหญ่บังนั้น ย่อมไม่น่าเชื่อถือได้เลยแม้แต่น้อย
เมื่อพิจารณาถึงสถานะหลวงปู่ อายุประมาณ 100 ปี มีอาการเจ็บป่วยตามข่าวและอยู่ในความดูแลของแพทย์ มูลเหตุจูงใจที่หลวงปู่จะกระทำผิดดังที่หมอปลาอ้างว่าได้รับการร้องเรียนจากหญิงสาวนั้นจึงไม่มี แต่เมื่อหลวงปู่ท่านไม่อาจแก้ตัวได้ เพื่อให้สังคมสิ้นสงสัย
ตำรวจต้องดำเนินคดีหมอปลากับพวกที่กระทำต่อหลวงปู่ เพื่อธำรงไว้ซึ่งพระพุทธศาสนาให้อยู่ในจิตใจของประชาชนของชาวจังหวัดยโสธร และสานุศิษย์ต่อไป เป็นความผิดต่ออาญาแผ่นดิน ไม่ต้องมีใครร้องทุกข์กล่าวโทษ ตำรวจต้องดำเนินคดีให้เป็นไปตามกฎหมาย
หากตำรวจยโสธรไม่ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายอาจมีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่”