ตำรวจเข้าตรวจสอบแมนชั่น ย่านคลองเตย พบศพชายนักธุรกิจชาวเมียนมา อายุ 53 ปี ของในห้องกระจัดจาย เงินสด 5 ล้านบาทหาย ตำรวจเร่งตามหา 2 หนุ่มผิวสีดำ คู่ค้า ที่เจอกันก่อนเกิดเหตุ
ผู้สื่อข่าวโตโจ้นิวส์รายงานว่า เมื่อเวลา 01.30 น. วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 ตำรวจ สน.ลุมพินี รุดตรวจสอบห้องพักชั้น 23 ในแมนชันแห่งหนึ่ง ซอยสุขุมวิท 4 เขตคลองเตย พบศพ นายคะยอ เซยา อายุ 51 ปี ชาวเมียนมา สภาพมีบาดแผลที่ปาก ใบหู และศีรษะ มีเลือดไหลออกมาจำนวนมาก คาดอาจถูกกระแทกพื้น เพราะไม่พบอาวุธ แต่มีร่องรอยต่อสู้ ข้าวของกระจัดกระจาย และเงินสด 5 ล้านบาทหายไป
นางเทเทวิน ชาวเมียนมา อยู่ในเหตุการณ์ อ้างว่า ผู้เสียชีวิตทำธุรกิจรับแลกเงินตราต่างประเทศ โดยกู้เงินจากต่างประเทศมาร่วมธุรกิจกับ นายวิลเลี่ยม และ นายจอห์น คนผิวสี ชาวสกอตแลนด์ ต่อมาทั้ง 3 คน ไปคุยธุรกิจกันบริเวณสถานที่แห่งหนึ่งย่านวัดพระยาไกร ก่อนเดินทางกลับมาที่ห้องพักเกิดเหตุ
จากนั้นชาวสกอตแลนด์ทั้งสองคนทะเลาะวิวาท ชกต่อยกับผู้เสียชีวิต และพยายามยื้อแย่งเงิน 5 ล้านบาท ที่ผู้เสียชีวิตถอนมาเก็บไว้ในห้อง ตนเข้าห้ามถูกบีบคอ ผลักจนสลบ ตื่นมาอีกครั้งพบ นายคะยอ เสียชีวิต จึงรีบแจ้งเจ้าหน้าที่แมนชันให้ช่วยติดต่อตำรวจ เบื้องต้นตำรวจได้ยึดกระเป๋าเดินทางปริศนาที่ตกอยู่ในห้อง พร้อมกับตู้เซฟที่ผู้เสียชีวิต และผู้ก่อเหตุซื้อมาไปตรวจสอบ
ด้าน พลตำรวจตรี นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยผลการประชุมกับชุดสืบสวนคลี่คลายคดี พบก่อนเกิดเหตุผู้เสียชีวิตนัดพูดคุยเจรจากับ นายวิลเลี่ยม และ นายจอห์น ที่โรงแรมใกล้ ๆ จากนั้นทั้ง 3 คน ออกจากโรงแรมที่นัดพบกลับมายังแมนชันเกิดเหตุ และขึ้นลิฟท์ไปห้องพัก
หลังจากนั้นผู้เสียชีวิตได้มาส่ง นายวิลเลี่ยม ลงลิฟท์พร้อมกระเป๋าเดินทาง แล้วผู้เสียชีวิตกลับขึ้นห้องไปพร้อม นางเทเทวิน โดยมี นายจอห์น รออยู่ แล้วสักพักผู้เสียชีวิตก็ลงไปรับ นายวิลเลี่ยม ซึ่งไม่ทราบว่าไปไหนมา แล้ว นายวิลเลี่ยม กับผู้เสียชีวิตก็ขึ้นไปห้องพักช่วง 22.22 น. ซึ่งตอนนั้นมีคนอยู่ในห้องพักทั้งหมด 4 คน คือผู้เสียชีวิต นางเทเทวิน นายจอห์น และ นายวิลเลี่ยม
ผ่านไป 11นาที นายจอห์น กับ นายวิลเลี่ยม ลงลิฟท์เดินออกจากแมนชันหลบหนีไปทางสุขุมวิทซอย 6 ออกไปทางซอย 9 และซอย 11 ซึ่งชุดสืบสวนอยู่ระหว่างติดตามตัวชายทั้ง 2 คน เพราะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เพื่อไม่พลาดข่าวสารดีๆ อย่าลืมกดติดตามพวกเรา TOJO NEWS
