News
ช็อก! แรงงานไทย เกือบครึ่งแสน ถูกบริษัทเลิกจ้าง แต่ไม่ได้ค่าชดเชย อึ้ง! ก.แรงงานบังคับนายจ้างไม่ได้
Published
11 ชั่วโมง agoon
By
Admin Tojo
สส.เซีย จี้ รมว.แรงงาน จัดการบริษัทเลิกจ้างแต่ไม่จ่ายค่าชดเชย ชี้ผิดกฎหมาย แต่ ก.แรงงานบังคับนายจ้างไม่ได้ ทำแรงงานเดือดร้อนกว่า 4 หมื่นรายแล้ว
ผู้สื่อข่าวโตโจ้นิวส์รายงาน เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2568 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เซีย จำปาทอง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ตั้งกระทู้ถามสดด้วยวาจาต่อนายกรัฐมนตรี ถึงกรณีสถานการณ์การจ้างงานภายในประเทศ รวมถึงกรณีบริษัทเลิกจ้างแรงงานแต่ไม่จ่ายค่าชดเชยให้ตามกฎหมาย โดยนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ พิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นผู้ตอบกระทู้แทน
เซียกล่าวว่า เมื่อปี 2567 มีโรงงานจำพวกที่ 2 และ 3 ตาม พ.ร.บ.โรงงาน เลิกกิจการไปมากกว่า 1,200 แห่ง หรือเฉลี่ยประมาณเดือนละ 100 แห่ง มีคนถูกเลิกจ้างมากกว่า 35,000 คน หรือเฉลี่ยเดือนละประมาณ 3,000 คน และมีมูลค่าความเสียหายจากการลงทุนไปกว่า 48,000 ล้านบาท ตัวเลขที่ยกมานี้ไม่นับรวมกิจการประเภทอื่นๆ ที่ปิดกิจการหรือมีการเลิกจ้างพนักงานเป็นจำนวนมาก
การเลิกจ้างไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด คนที่ถูกเลิกจ้างย่อมได้รับผลกระทบ ไม่ว่าด้วยภาระค่าใช้จ่ายหรือหนี้สินส่วนบุคคล เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าผ่อนบ้าน ค่าผ่อนรถ ค่าเล่าเรียนบุตร ค่าภาษีสังคม เป็นต้น บางคนอายุเริ่มมากขึ้น หางานใหม่ทำก็ลำบาก นายจ้างมักไม่รับคนที่มีอายุมากเข้าทำงาน ถึงแม้นายจ้างจะสามารถเลิกจ้างลูกจ้างได้
แต่ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานระบุว่า หากนายจ้างจะเลิกจ้างต้องจ่ายเงินค่าชดเชยตามกฎหมายให้แก่ลูกจ้าง แต่ที่ผ่านมานายจ้างหลายรายไม่ปฏิบัติตาม ไม่จ่ายเงินค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้าง และกระทรวงแรงงานก็ไม่สามารถบังคับให้นายจ้างนำเงินมาจ่ายให้ลูกจ้างได้ และนายจ้างยังระบุด้วยว่า หากลูกจ้างอยากได้เงินค่าชดเชยก็ให้ไปฟ้องร้องยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานเอง
เซียกล่าวต่อไปว่า แม้พนักงานตรวจแรงงานจะออกคำสั่งให้นายจ้างจ่าย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านายจ้างจะยอมจ่ายตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน ที่ผ่านมานายจ้างหลายรายไม่สนใจ ไม่เกรงกลัวกฎหมาย ไม่จ่ายเงินตามที่พนักงานตรวจแรงงานสั่ง และกระทรวงแรงงานในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลก็ไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายให้นายจ้างนำเงินมาจ่ายให้ลูกจ้างได้
ในปี 2567 มีลูกจ้างจำนวน 6,594 คนที่ถูกเลิกจ้างแล้วไปเขียนคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงาน และพนักงานตรวจแรงงานก็ได้ออกคำสั่งให้นายจ้างจ่ายแล้ว แต่ก็ไม่ยอมฏิบัติตามคำสั่ง คิดเป็นจำนวนเงินถึง 395 ล้านบาท และหากนับรวมกันตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา มีลูกจ้างที่ไม่ได้รับเงินชดเชยตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานจำนวนมากถึง 43,690 คน รวมเป็นจำนวนเงินกว่า 2,888 ล้านบาท เมื่อวันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมามีโรงงานแห่งหนึ่งในจังหวัดชลบุรี คือ บริษัท แบซินี่ โปรดักชั่น จำกัด เลิกจ้างคนพิการเกือบ 30 คนโดยไม่จ่ายเงินชดเชยตามกฎหมาย คนพิการปกติก็ลำบากอยู่แล้วในการใช้ชีวิต จะให้เดินทางไปเขียนคำร้องต่อสู้ให้ได้เงินค่าชดเชย นี่คือการซ้ำเติมพวกเขาหรือไม่
ตนจึงขอถามรัฐมนตรีว่าจะดำเนินการบังคับให้นายจ้างดำเนินตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน นำเงินมาจ่ายให้ลูกจ้างกว่า 40,000 คนได้อย่างไร รัฐบาลจะมีมาตรการป้องกันการเลิกจ้างโดยไม่จ่ายเงินค่าชดเชยที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอีกแน่ๆ อย่างไร
ด้านพิพัฒน์ระบุว่า ในขั้นตอนของกระทรวงแรงงานได้จ่ายเงินให้ลูกจ้างตามความรับผิดชอบของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานไปแล้วจำนวน 70% ของรายได้ อีกส่วนหนึ่งคือประกันสังคม ซึ่งก็ได้จ่าย 50% ของรายได้ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วเช่นกัน
ส่วนที่ สส. กล่าวถึงบริษัท แบซินี่ ที่เลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชยและค่าบอกกล่าวล่วงหน้า ในส่วนนี้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจะเข้าไปทำหน้าที่ และสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่กระทรวงแรงงานสามารถทำได้ก็จะรีบดำเนินการต่อไป
พิพัฒน์กล่าวต่อไปว่า เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาตนได้ทำเรื่องเพื่อเข้าสู่การประชุมคณะรัฐมนตรี ขออนุมัติงบกลางเพื่อช่วยเหลือแรงงานบริษัทยานภัณฑ์ที่ถูกเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชย ซึ่งคณะรัฐมนตรีก็ได้ทำหนังสือเวียนไปถึงส่วนราชการหรือกระทรวงต่างๆ ที่มีความเกี่ยวข้อง โดยตนจะรอคำตอบจากการประชุมในคณะรัฐมนตรีต่อไป
ทั้งนี้ ในส่วนที่ตนในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานต้องรับผิดชอบ ก็จะเร่งดำเนินการโดยเร็ว โดยเฉพาะกรณีบริษัทต่างๆ ที่จะถูกฟ้องร้องโดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จะมีการหารือต่อไปว่าการฟ้องร้องจะดำเนินการอย่างไร โดยจะมีการหารือกับผู้เสียหายด้วย ส่วนกรณีผู้พิการที่ถูกเลิกจ้างโดยบริษัท แบซินี่ ตนได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปประสานงานเพื่อหาตำแหน่งงานใหม่ให้ได้โดยเร็วที่สุด
เซียถามกระทู้ต่อเป็นครั้งที่สอง โดยระบุว่า สำหรับกรณีบริษัทยานภัณฑ์ที่รัฐมนตรีได้ทำเรื่องส่งไปให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ตนต้องขอชื่นชมที่มีการดำเนินการตามที่รับปากกับแรงงานไว้ แต่ที่ต้องถามต่อคือเมื่อได้มีการส่งเรื่องไปที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแล้ว รัฐมนตรีได้มีการติดตามต่อหรือไม่ว่าติดเงื่อนไขอะไร ทำไมรับปากกับลูกจ้างไว้ว่าไม่เกิน 7-14 วัน วันนี้ผ่านมาเดือนกว่าแล้วกลับยังไม่มีความคืบหน้า และยังรอหน่วยงานต่างๆ ชี้แจงกลับมาว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ในการขออนุมัติงบประมาณมาช่วยเหลือลูกจ้างอยู่
นอกจากนี้ ในเอกสารที่ส่งไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ข้อที่ 2 รัฐมนตรีระบุว่า “ไม่มีความเร่งด่วน” รัฐมนตรีไม่ทราบหรือว่าลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างไม่มีรายได้ และมีคนเสียชีวิตไปแล้วด้วย มันหมายความว่าอย่างไร ปากท้องของประชาชนที่เดือดร้อนไม่สำคัญหรืออย่างไร ตนจึงขอสอบถามว่าการขออนุมัติงบกลางที่รัฐมนตรีเคยรับปากไว้ มีระยะเวลาในการบรรจุเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อใด และขณะนี้ติดปัญหาอะไร
ในส่วนของพิพัฒน์ได้ตอบคำถามโดยระบุว่า กรณีที่ตนได้ทำเรื่องเข้าคณะรัฐมนตรีไปนั้น ตนนำเสนอในสิ่งที่รับปากกับผู้ใช้แรงงานที่ได้รับความเดือดร้อนไว้ แต่ตนก็เร่งรัดตามหน้าที่ด้วยการพูดคุยและเจรจาเป็นการภายใน คงไม่สามารถชี้แจงได้ว่าในแต่ละส่วนงานหรือกระทรวงมีความคิดเห็นเป็นอย่างไร เป็นเอกสิทธิ์ของแต่ละกระทรวงที่จะตอบมา แต่ก็มีเงื่อนไขของเวลาที่โดยปกติแล้วจะตอบภายในไม่เกิน 1 เดือน ซึ่งตนจะไปหารือกับทางสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีว่าเรื่องนี้มีความคืบหน้าอย่างไรต่อไป
ตนขอบคุณสมาชิกที่มีการเร่งรัด แต่การที่หน่วยราชการจะตอบมาเมื่อใดก็เป็นสิทธิของแต่ละกระทรวง แต่ที่สำคัญคือต้องดูว่าสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจะมีความเห็นว่าอย่างไร การใช้งบกลางสำหรับเรื่องนี้เหมาะสมหรือทำได้หรือไม่ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ตนได้ยื่นเอกสารไป ตนเคยยื่นไปครั้งหนึ่งแล้ว และได้รับการตอบกลับมาว่าไม่เข้าข่ายที่จะใช้งบกลางได้ แต่ตนก็จะพยายามติดตามเรื่องนี้ต่อไป
เซียได้ถามต่อเป็นครั้งที่ 3 โดยกล่าวว่า สิ่งที่สำคัญกว่าการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า คือมาตรการป้องกันไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก ตอนนี้ลูกจ้างบริษัทยานภัณฑ์ บริษัทเอเอ็มซี บริษัทอัลฟ่า และบริษัทบอดี้แฟชั่น กำลังชุมนุมอยู่หน้าทำเนียบรัฐบาล ตนได้รับแจ้งจากพี่น้องแรงงานว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังไปก่อกวนให้ย้ายที่ชุมนุม วันนี้ถ้ารัฐมนตรีบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นจริงจัง บังคับให้นายจ้างนำเงินค่าชดเชยมาจ่ายให้ลูกจ้างได้ ลูกจ้างก็ไม่มาชุมนุม แต่เมื่อกระทรวงแรงงานไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายได้ วันนี้เขาถึงต้องมาหารัฐบาลเพื่อให้มีมาตรการในการติดตามนำเงินมาจ่ายลูกจ้าง เพราะฉะนั้นจึงขอฝากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานช่วยเข้าไปดูแลลูกจ้างด้วย
เซียกล่าวต่อไปว่า จากข้อมูลที่ตนกล่าวถึงก่อนหน้านี้ มีการออกคำสั่งให้นายจ้างจ่ายเงินลูกจ้างมากกว่า 43,600 คน แต่นายจ้างก็ไม่จ่ายเงิน บางแห่งกลายเป็นบุคคลล้มละลาย บางแห่งใช้วิธีการโอนย้ายทรัพย์สิน ตนจึงขอสอบถามรัฐมนตรีว่าจะมีมาตรการบังคับอายัดทรัพย์ของนายจ้าง ป้องกันการโยกย้ายทรัพย์สินที่เป็นรูปธรรมได้อย่างไร และสิ่งที่รัฐมนตรีบอกว่าจะแก้ปัญหาให้ลูกจ้างที่เดือดร้อนด้วยการเร่งขออนุมัติงบกลาง ขอให้มีการเร่งรัด อย่ารอเวลาถึงหนึ่งเดือนเลย
ในส่วนของพิพัฒน์ได้ตอบคำถามโดยระบุว่า ในกรณีบริษัทบอดี้แฟชั่นนั้นศาลแรงงานภาค 1 พระนครศรีอยุธยา และศาลแรงงานภาค 6 นครสวรรค์ ได้มีคำสั่งพิพากษาแล้ว และกรมบังคับคดีมีคำสั่งให้ยึดทรัพย์นายจ้าง 3 รายการและประกาศขายทอดตลาดแล้วจำนวน 6 ครั้ง แต่ยังไม่มีผู้ซื้อ เมื่อใดที่มีผู้ซื้อก็คงจะนำทรัพย์มาเฉลี่ยให้ผู้ใช้แรงงานได้ ส่วนการดำเนินคดี อัยการสั่งฟ้องแล้ว 10 คดี อยู่ในชั้นพนักงานอัยการ 2 คดี และมีการออกหมายจับนายจ้างแล้ว ผู้ต้องหาสัญชาติไทยถูกจับกุมเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2567 ปัจจุบันฝากขังอยู่ที่เรือนจำจังหวัดสมุทรปราการ ส่วนอีก 2 รายที่เป็นชาวต่างชาติ ตอนนี้ได้ประสานไปยังกองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อหารือและขอออกหมายแดงในการส่งผู้ร้ายข้ามแดนต่อไป
ส่วนกรณีบริษัทอัลฟ่า สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดสมุทรปราการเป็นทนายความยื่นฟ้องต่อศาลแรงงานพระนครศรีอยุธยา โดยศาลมีคำพิพากษาและออกหมายบังคับคดีเป็นที่เรียบร้อย ส่วนการดำเนินคดีอยู่ในชั้นพนักงานอัยการ
ส่วนกรณีบริษัทเอเอ็มซี สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดสมุทรปราการเป็นทนายความยื่นฟ้องต่อศาลแรงงานพระนครศรีอยุธยาเช่นกัน โดยศาลได้ไกล่เกลี่ยให้ลูกจ้างได้รับค่าจ้างบางส่วน และทำสัญญาประนีประนอมยอมความที่ศาล ส่วนค่าชดเชยไม่สามารถไกล่เกลี่ยได้ ศาลนัดสืบพยานในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ส่วนการดำเนินคดีอยู่ในชั้นพนักงานอัยการ
พิพัฒน์กล่าวต่อไปว่า นี่คือส่วนที่กระทรวงแรงงานได้พยายามดำเนินการไปให้ถึงที่สุด และเมื่อถึงที่สุดแล้วก็จะมีการยึดทรัพย์นำมาขายทอดตลาดเพื่อเฉลี่ยทรัพย์ในส่วนต่างๆ ส่วนวิธีการป้องกัน ตนขอตอบอย่างตรงไปตรงมาว่าคงไม่มีความสามารถในการป้องกันไม่ให้เกิดการปิดกิจการหรือการล้มละลายได้ เป็นเหตุสุดวิสัยของแต่ละธุรกิจ สามารถทำได้เพียงให้เจ้าหน้าที่สอดส่องดูแลว่ามีบริษัทใดบ้างที่ไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปและจะมีการปิดกิจการ ก็จะหาวิธีเจรจากับนายจ้างว่าก่อนปิดกิจการต้องดูแลและเยียวยาผู้ใช้แรงงาน
แต่ที่สำคัญคือต้องหาวิธีการสืบทรัพย์ต่อไปว่ามีทรัพย์อะไรที่ยังคงเหลือและนำมาเฉลี่ยได้ ส่วนกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจจะไปทำอะไรกับผู้ชุมนุมทั้ง 4 บริษัท ตนจะส่งเจ้าหน้าที่ไปดูและเจรจาไกล่เกลี่ยให้ อะไรที่ตนรับผิดชอบได้ ตนก็จะพยายามทำอย่างเต็มที่ต่อไป
#เพื่อไม่พลาดข่าวสารดีๆ อย่าลืมกดติดตามพวกเรา TOJO NEWS



อ.เจษฎา ยืนยัน ไม่เป็นความจริง! กระแสข่าว ผักต้มค้างคืน ทำให้เกิดสารหนูตกค้าง

Virtual Mantra ควอนตัมอธิษฐาน ดวงประจำวันเสาร์ที่ 15 มีนาคม 2568 | O2O
