ไทยสร้างไทย จับตาเบื้องหลังออกเหรียญดิจิทัล อาจเอื้อกลุ่มทุน-เปิดช่องฟอกเงิน
ผู้สื่อข่าวโตโจ้นิวส์รายงาน นายปริเยศ อังกูรกิตต โฆษกพรรคไทยสร้างไทย กล่าวถึงการเดินหน้านโยบายแจกเงินดิจิทัลของรัฐบาล โดยตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพของมาตรการดังกล่าวในการกระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมเตือนให้รัฐบาลพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนเดินหน้าเฟส 3
โฆษกพรรคไทยสร้างไทยระบุว่า แม้การแจกเงินสด 10,000 บาทที่ผ่านมา ประชาชนจะพึงพอใจ แต่ในทางเศรษฐกิจกลับไม่ได้ส่งผลกระตุ้นที่มีนัยสำคัญ โดยเศรษฐกิจไทยในปีที่ผ่านมาเติบโตเพียง 2.5% ขณะที่งบประมาณที่ใช้ไปคิดเป็น 0.8% ของ GDP แต่กลับกระตุ้นเศรษฐกิจได้เพียง 0.3% ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำกว่าความคุ้มค่าของเงินภาษีที่ใช้ไป
นายปริเยศยังตั้งข้อสังเกตว่า การแจกเงินรอบใหม่ที่จำกัดเฉพาะกลุ่มอายุ 16-20 ปี สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลอาจเผชิญปัญหาด้านงบประมาณหรือมีการปรับลดวงเงินโครงการ จึงต้องตั้งคำถามไปถึงผู้มีอำนาจว่า นโยบายนี้ทำเพื่อประชาชนจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงเครื่องมือทางการเมืองของรัฐบาล
นอกจากนี้ ยังมีความไม่แน่นอนในนโยบายภาครัฐ เช่น กรณีการจ่ายค่าเทอมของนักเรียนและนักศึกษา ที่รัฐบาลเคยประกาศว่าสามารถนำไปใช้จ่ายในส่วนนี้ได้ แต่ต่อมากลับมีท่าทีไม่แน่นอน เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ขาดความชัดเจน ทำให้ประชาชนสับสนและตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพของการบริหารจัดการงบประมาณของรัฐบาล ในขณะเดียวกัน รัฐบาลกลับไม่สามารถควบคุมเรื่องการใช้เงินไปซื้อเหล้าและบุหรี่ของเยาวชนอายุ 16-20 ปี ที่ได้รับเงินจากโครงการแจกเงินดิจิทัล ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสังคมตามมา
นายปริเยศเปิดเผยข้อมูลที่ได้รับมาว่า ขณะนี้มีความเคลื่อนไหวของผู้มีอำนาจและกลุ่มทุนในการเตรียมออกเหรียญดิจิทัล ซึ่งอาจเชื่อมโยงกับนโยบายแจกเงินดิจิทัลของรัฐบาล พร้อมตั้งข้อสงสัยว่า
โครงการนี้อาจส่อว่าเป็นการทุจริตเชิงนโยบาย โดยเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนหรือพวกพ้อง มากกว่าการช่วยเหลือประชาชนอย่างแท้จริงหรือไม่
นอกจากนี้ ยังมีความกังวลว่าการออกเหรียญดิจิทัลอาจเปิดช่องให้เกิดการฟอกเงินได้ โดยการใช้กลไกของเงินดิจิทัลอาจทำให้มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนที่ไม่โปร่งใสและยากต่อการตรวจสอบ ซึ่งหากไม่มีมาตรการกำกับดูแลที่ชัดเจน อาจกลายเป็นช่องโหว่ให้เกิดการฟอกเงินผ่านระบบนี้โดยง่าย
“ขอให้สังคมจับตาอย่างใกล้ชิดว่าการออกเหรียญดิจิทัลนี้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชน หรือเป็นการเปิดช่องให้มีการหาผลประโยชน์จากงบประมาณแผ่นดิน หากมีข้อครหาหรือความไม่โปร่งใส อาจนำไปสู่การตรวจสอบและวิพากษ์วิจารณ์ว่ารัฐบาลดำเนินนโยบายเพื่อเอื้อผลประโยชน์ให้กลุ่มทุน มากกว่าการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างแท้จริง” นายปริเยศ กล่าวทิ้งท้าย
#เพื่อไม่พลาดข่าวสารดีๆ อย่าลืมกดติดตามพวกเรา TOJO NEWS