อาจารย์อุ๋ย เตือน! ครม.อนุทิน ต้องมีความสามารถ มีจริยธรรมและความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ หวั่นหลุดตำแหน่งซ้ำรอย “เศรษฐา”
ผู้สื่อข่าวโตโจ้นิวส์รายงานว่า นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย หรืออาจารย์อุ๋ย นักวิชาการด้านกฎหมายและอดีตผู้สมัคร สส. กรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสเฟสบุ๊คแสดงความเห็นว่า “ก่อนอื่นผมขอแสดงความยินดีกับว่าที่ท่านนายกคนใหม่ ซึ่งผมหวังว่าท่านจะมีความเป็นตัวของตัวเอง มีอิสระในการใช้ดุลพินิจต่าง ๆ ในการบริหารประเทศโดยไม่ตกอยู่ใต้อาณัติของบุคคล กลุ่มบุคคลหรือคลิปเสียง คลิปภาพใด ๆ
อย่างไรก็ตาม ผมมีความกังวลเมื่อได้เห็นบุคคลบางคนในโผ ครม. ซึ่งจะมานั่งเป็นรัฐมนตรีในกระทรวงต่าง ๆ ว่าจะมีคุณสมบัติครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 โดยเฉพาะ (4) และ (5) หรือไม่ กล่าวคือ ต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และ ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
ซึ่งบางคนตามโผ ครม. เคยถูกศาลพิพากษามาแล้วว่ามีความผิดจริง แม้จะไม่ใช่ศาลไทยก็ตาม และแม้มีการล้างมลทินแล้วก็ตาม ซึ่งเป็นเพียงการลบล้างโทษ และถอนชื่อออกจากทะเบียนประวัติอาชญากรรมเท่านั้น การล้างมลทินไม่ได้ลบล้างการกระทำผิดที่เคยเกิดขึ้น การกระทำผิดนั้นยังคงได้ชื่อว่าเคยกระทำอยู่ และศาลรัฐธรรมนูญได้วางหลักไว้ในคำวินิจฉัยที่ 21/2567 หน้าที่ 23-28 ว่า “…ความหมายของคำว่า ‘ซื่อสัตย์’ และ ‘สุจริต’ มิใช่เป็นเพียงเรื่องการกระทำทุจริตหรือประพฤติมิชอบเท่านั้น แต่ต้องเป็นการกระทำให้วิญญูชนทั่วไปที่ทราบพฤติการณ์หรือการกระทำนั้น แล้วยอมรับว่าเป็นผู้มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ จึงจะถือได้ว่า เป็นผู้มีความซื่อสัตย์สุจริเป็นที่ประจักษ์…
…การที่นายกรัฐมนตรีจะเสนอแต่งตั้งบุคคลใดให้เป็นรัฐมนตรี มิได้อาศัยเฉพาะแต่เพียงความไว้วางใจส่วนตนโดยแท้ แต่คณะรัฐมนตรีซึ่งหมายถึงนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีแต่ละคนต้องได้รับความเชื่อถือและไว้วางใจจากสาธารณชนหรือประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริง อันเป็นความเชื่อถือและไว้วางใจในความเป็นจริงด้วย” ดังนั้น แม้เพียงการไม่มีคดีอาญาติดตัว หรือได้รับอภัยโทษ หรือเคยทำผิดแต่ได้รับการตัดสิน รอการลงโทษ ก็ไม่ได้หมายความว่า บุคคลผู้นั้นจะถือว่ามีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ เสมอไป
และหากนายกรัฐมนตรีรู้ข้อเท็จจริงถึงคุณสมบัติของผู้ที่ตนจะแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีแล้วว่า ขาดคุณสมบัติในเรื่องของความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ แต่ก็ยังทูลเกล้า ฯ ถวายชื่อให้ทรงลงพระปรมาภิไธยอีก ก็จะถือว่านายกรัฐมนตรีผู้เสนอชื่อรัฐมนตรีนั้น ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์และเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมร้ายแรง เป็นการกระทำที่เอาประโยชน์ส่วนตนเหนือผลประเทศชาติ ถือว่านายกรัฐมนตรีไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (4) (5) ไปด้วย ซึ่งจะส่งผลให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) และรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ
ดังนั้นผมจึงอยากฝากให้ท่านนายกหนู พิจารณาแต่งตั้งคนดีมีความรู้ความสามารถ มีความรู้ลึกซึ้งในปัญหาความมั่นคงและเศรษฐกิจ ไม่ใช่คนที่รู้แต่ในตำรา เพราะตำราเศรษฐศาสตร์ ความมั่นคงและภูมิรัฐศาสตร์ที่เขียนโดยชาวตะวันตก ซึ่งใช้กันก่อนหน้านี้ถอยหลังไปห้าปีขึ้นไป จะใช้ไม่ได้แล้ว เนื่องจากโลกกำลังอยู่ในยุคเปลี่ยนผ่านจากยุคความเป็นมหาอำนาจโลกเจ้าเดียว (uni-polar world) ของตะวันตก ไปสู่ยุคของภาคีพหุนิยม (multi-polar world) ภายใต้หลักการของความเสมอภาค การค้าเสรี การไม่แทรกแซงในกิจการภายในของประเทศอื่น หรือการเคารพในอำนาจอธิปไตยของกันและกัน
สรุป ผมขอให้ ครม. นายกหนู เป็น ครม. ที่ประกอบด้วยคนเก่ง คนดี มีความรู้ความสามารถ ตั้งใจทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมอย่างแท้จริง ซึ่งผมขอให้ท่านายกหนูมีความใจกว้างที่จะสรรหาคนนอก ที่มีคุณสมบัติเหล่านี้มาทำงานโดยไม่ต้องคำนึงถึงเรื่องระบบอุปถัมภ์ พรรคพวกหรือระบบโควตาพรรคการเมืองใด ๆ และผมเชื่อว่า ประชาชนจะเทคะแนนเสียงให้พรรคของท่านอย่างถล่มทลายในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ด้วยความปรารถนาดี”
#เพื่อไม่พลาดข่าวสารดีๆ อย่าลืมกดติดตามพวกเรา TOJO NEWS