อดีตศัลยแพทย์ ที่เคยอยู่ รพ.ศูนย์ขนาดใหญ่แห่งนึง เปิด 2 เหตุผลความเป็นไปได้ ทำไมหมอจบใหม่แห่ลาออก
ผู้สื่อข่าวโตโจ้นิวส์รายงานว่า นพ. วีรพัฒน์ สุวรรณธรรมา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก หลังเกิดประเด็นกระแสหมอจบใหม่ลาออก โดยระบุว่า
คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก…. ครับพี่อยู่รอด
ผมได้ฟังการแถลงข่าวของกระทรวงๆ นึง เมื่อเช้านี้แล้วก็มาย้อนนึกถึงปัญหาน้องอินเทิร์นลาออก ในมุมที่พยายามนั่งนึกถึงตัวเองสมัยเดียวกัน ว่า ถ้าคนเราทำงานที่ใดที่นึง แล้วจะตัดสินใจลาออกได้ คงมีเหตุผลร้อยแปดพันเก้าประการแหละ เหมือนกับผมตอนตัดสินใจลาออก มาสมัครเรียนศัลยกรรม
แต่ถ้าให้ผมสรุปเหตุผลแบบบ้านๆ คงมีแค่สองแบบ ตามที่คนโบราณชอบกล่าวไว้ คือ คับที่ กับ คับใจ
คับที่ (ที่ไม่ควรคับ)
โดยคำ หมายถึง สถานที่คับแคบ แต่โดยความหมายจริงๆ คงหมายความถึงทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เป็น non-human ครับ เช่น สวัสดิการเรื่องบ้านพัก มีไม่เพียงพอ และทรุดโทรม เก่า อยู่แทบไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้รับการซ่อมแซม ห้องพักแพทย์เวรที่นอนแทบไม่ได้ จำได้สมัยอยู่เวร ER ที่ รพ.มหาสารคาม ตอนนั้น ห้องพักแพทย์เวร ER เตียงหัก นอนไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้รับการซ่อมแซม สงสัยคิดว่าเราคงไม่ได้นอนอยู่แล้วแน่ๆ มองกันเป็นเรื่องตลกไป ถึงกระนั้น เตียงหักสองท่อน ก็ไม่สามารถต้านทาน intern เวรที่ง่วงจัดๆ ได้ จำได้ ว่า ผมและเพื่อนๆ มีความสามารถนอนบนเตียงแบบนี้จนหลับไปได้จริงๆ ด้วยครับ 555
เงินเดือน ยังต้องรอตกเบิกทีละ 3-6 เดือน สมัยก่อนเข้าใจได้ ว่าขั้นตอนการอนุมัติเป็นราชการใช้เวลา ปัจจุบันยุค IT ทุกอย่างดิจิตอลแล้ว ขนาด telemedicine ยังทำได้เลยโดยเฉพาะช่วงโควิด คนที่เขียนโปรแกรม เขียนแอปเก่งๆ มีเยอะแยะ น่าจะทำเรื่องแบบนี้ได้ไม่ยาก ผมยังไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมถึงแก้ปัญหานี้ไม่ได้มา 30 ปีแล้ว งงมาก เราควรบรรจุใครได้ไม่ได้ เมื่อไหร่ และเงินควรได้เลยหลังเราบรรจุข้าราชการไหมครับ จะมีสักกี่ประเทศ ที่ข้าราชการต้องทำงานฟรีก่อน แล้วค่อยได้เงินภายหลัง??? อยากรู้จริงๆ ว่า อีก 30 ปี จะยังต้องตกเบิกเงินเดือนกันอีกหรือไม่ ????
งานโหลด
ทั้งงานบริการคนไข้ ผู้ป่วยในที่ต้องราวน์ ผู้ป่วยนอกก็ต้องตรวจ แถมมีงานยิบย่อย ชันสูตร ออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ฯลฯ และมีงานเอกสาร ทุกอย่างคือเราหมด ไม่มีใครทำแทนได้ เท่าที่จำได้ burden หนักสุด น่าจะเป็นการออกตรวจ OPD ซึ่งใน รพช. ตรวจกันเหนื่อยมาก วันละเป็น 100 คน ยิ่งถ้า รพ.ไหน ผอ ไม่มาช่วยตรวจด้วย ก็จะสาหัสขึ้นอีก เพราะตัวหารลดลง สมัยผมโชคดีที่พี่ปริญญา ผอ ลงมาช่วยตรวจ OPD เสมอ มากบ้างน้อยบ้าง เราก็เข้าใจ เพราะพี่เขาต้องทำงานอื่น บริหาร เซ็นหนังสือ เวลาพี่เขาจะไปประชุมที่จังหวัด ก็จะบอกพวกเราก่อน ทำให้เราเตรียมทำใจล่วงหน้า และมาตรวจเร็วขึ้น จะได้เคลียร์คนไข้หมดเร็วขึ้น
ปัจจุบัน IT และระบบการให้บริการหลายๆ อย่าง ในปี 2566 อย่างนี้ ควรช่วยลดภาระ และความคับคั่งตรงนี้ลงให้ได้มากที่สุด เพื่อให้แพทย์ได้มีเวลามาทำงานที่ใครก็ทำแทนไม่ได้นี้จริงๆ เห็นว่ามีคนกล่าวว่า AI ช่วยวินิจฉัยโรคและตรวจได้ น่าเอามาตั้งหน้า รพ. ในอำเภอ หลายๆ ตู้เลย คนที่เป็นอะไรไม่เยอะ จะได้ยังไม่ต้องมา รพ.จริงๆ ถ้ามีคนเก่งๆ ช่วยกันคิดระบบ น่าจะมีความเป็นไปได้ในเรื่องนี้ อย่างน้อยก็ triage คนไข้ ให้เข้ามาตรวจเฉพาะที่จำเป็นต้องพบแพทย์จริงๆ
คับใจ (ที่ก็ไม่ควรคับ)
ส่วนใหญ่เป็นปัญหาการถูก abuse จากเพื่อนร่วมงาน และรุ่นพี่ เรื่องของคน หรือ toxic people/staffs เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ยาก เพราะมันเป็นปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ ส่วนตัวสมัยใช้ทุนเคยเจอ toxic staffs น้อยมาก คงมีบ้าง แต่จำเหตุการณ์ไม่ค่อยได้แล้ว โชคดีที่ส่วนใหญ่เคยเจอแต่พี่ที่ดีๆ ผมเคยรับอยู่เวรศัลยกรรมเช่นกัน เพราะอยากมีประสบการณ์เพิ่มขึ้นในการทำหัตถการ และพี่ที่อยู่เวรก็แฟร์พอที่จะจ้างเราและบวกเงิน top up ให้อีกเป็นหลักพัน ในตอนนั้นก็นับว่าเยอะมาก ส่วนพี่เขาก็ stand by ให้ ถ้าสุดฝีมือจริงๆ ก็ตามได้ อาจโชคดีที่เจอพี่ดีๆ ที่ไม่ abuse และสมัยนั้นเวร ER ก็อยู่เอง ไม่ได้จ้างน้อง intern จำได้ว่าเหนื่อยจริง
แต่ก็เข้าใจพี่ที่ถูกจัดวนเวร ER เพราะบางท่านไม่น่าจะไหว เช่น เป็นหมอ x-ray, หมอจิตเวช หรือแผนกอื่นๆ หรือแม้แต่แผนกทางเมด เด็ก ศัลย์ ถ้าอายุมาก เกินสัก 40-45 ปี น่าจะอยู่เวร ER ยากแล้ว เพราะหนึ่ง อดนอนยาก สอง ตาม update guideline ของแผนกอื่นๆ ไม่ทัน เวลามีเคสนอกฟิลด์ตัวเอง จะรักษาแล้วอาจ outdate ได้ ก็เข้าใจความจำเป็นที่อาจต้องจ้างน้อง intern มาช่วยอยู่เวร อันนี้คิดว่า คงต้องค่อยๆ ปรับและแก้ที่ระบบ และลดภาระที่ไม่จำเป็นที่ ER ลงให้มากที่สุด ร่วมไปกับการสนับสนุนให้มี ER physician เพิ่มขึ้นใน รพ.ศูนย์ และ รพ.ทั่วไป
ครับพี่ อยู่รอด
อันนี้ก็รู้ๆ กันอยู่แล้วครับ ไม่มีคำอธิบายเพิ่ม ครับพี่อยู่รอด ใช้ได้แทบทุกสถานการณ์ น้อง intern ที่จะเอาตัวรอด ก็ต้องครับพี่ไว้ก่อน เพราะพี่เป็นผู้ประเมินเรา เพื่อให้จบแพทย์เพิ่มพูนทักษะ การมีปัญหากับพี่จึงน่าจะเป็นเรื่องสุดท้ายที่ intern ควรจะทำ
จริงๆ ตามระบบการประเมินที่ดี ควรเป็นลักษณะ 360 องศา intern ควรมีโอกาสได้ประเมินพี่ และแผนก รวมถึง รพ. ด้วยเช่นกัน แฟร์ๆ ทั้งสองฝ่าย และในแผนกเดียวกัน ควรมีคนประเมินมากกว่า 1 คน เพื่อให้มีข้อมูลรอบด้าน รวมทั้งคนประเมิน intern ที่ไม่ใช่แพทย์ด้วย เช่น พยาบาล หรือน้องๆ ที่ทำงานด้วยกันกับ intern หรือพี่แพทย์พี่เลี้ยง
สรุปความเห็นส่วนตัว ปัญหาเร่งด่วนที่ต้องแก้ “ไม่ใช่” การผลิตแพทย์เพิ่ม (เพราะคุณภาพจะตกลงเรื่อยๆ ตามปริมาณที่เร่งผลิต) แต่ควรเป็นการปรับเปลี่ยนความ “คับที่” และ “คับใจ” เพื่อให้น้องหมอที่ยังอยู่ในระบบ ด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ สามารถอยู่ต่อได้ อย่างมีความสุขพอสมควร และมีศักดิ์ศรีของความเป็นแพทย์ หรือมีทุกข์ ก็ทุกข์น้อยลงกว่าเดิม
ปล อีกอันนึงที่คิดว่าผู้บริหารกระทรวงฯ ควรทำ คือ ลองไปอยู่เวร ER กับน้องสักคืนนึง หรือเวรในเมด รพ ทั่วไปก็ได้ ไม่ต้องเป็น รพ.ศูนย์ ลองอดนอนแบบน้อง อดข้าวแบบน้อง อดไปขี้อดไปเยี่ยวแบบน้อง นอนห้องนอนเวรเดียวกัน แบบน้อง วนไปเรื่อยๆ ทำสัก 4-5 รพ. ภาคละ รพ.ก็ได้ แล้วจะรู้เองว่าจะต้องเริ่มแก้ปัญหาอะไรก่อน อย่าไปแค่แป๊บๆ ถ่ายรูป ถ่ายคลิปแล้วก็กลับนะครับ
จากใจอดีตศัลยแพทย์ ที่เคยอยู่ รพ.ศูนย์ขนาดใหญ่แห่งนึงมาแล้ว
#เพื่อไม่พลาดข่าวสารดีๆ อย่าลืมกดติดตามพวกเรา TOJO NEWS