ช่อ พรรณิการ์ เปิดข้อสงสัย 4 อย่าง ถึงภูมิธรรม-รัศม์ ปมอุยกูร์กลับประเทศจีน
ผู้สื่อข่าวโตโจ้นิวส์รายงานว่า นางสาวพรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์หรือเอ็กซ์ โดยระบุว่า
สรุปประเด็นสำคัญที่ดิฉันในฐานะที่ปรึกษากรรมาธิการความมั่นคงฯ ได้ซักถามผู้แทนกระทรวงต่างประเทศ รัศม์ ชาลีจันทร์ และเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ในที่ประชุมกมธ.
1.เลขาธิการสมช. ระบุว่าได้รับหนังสือขอตัวชาวอุยกูร์จากทางการจีนในวันที่ 8 มกราคม 2568 และที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งมีคุณภูมิธรรม รองนายกฯ คุณทวี รมว. ยุติธรรม และคุณมาริษ รมว. ต่างประเทศ อยู่ด้วย ได้อนุมัติการส่งชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน ในวันที่ 17 มกราคม 2568
ข้อสังเกตของดิฉันคือ แล้วเหตุใด คุณภูมิธรรมและนายกฯ ถึงบอกว่าไม่ทราบเรื่อง หาว่าฝ่ายค้านปล่อยเฟคนิวส์ จนกระทั่งมีการส่งตัวกลับไปแล้ว เกิดกระแสข่าวโด่งดังทั่วโลก จึงแถลงยอมรับ
2.คุณรัศม์กล่าวว่าไม่มีประเทศใดแน่วแน่จริงจังในการขอรับตัวชาวอุยกูร์ โดยไม่เคยทำหนังสือมายังไทย ดิฉันถามกลับว่า แล้วไทยเคยมีหนังสือไปยังประเทศที่แสดงความจำนงขอรับตัวชาวอุยกูร์หรือไม่ เนื่องจากในแถลงการณ์จากกมธ.ต่างประเทศ สหรัฐฯ ระบุชัดว่ารัฐบาลสหรัฐเคย “ยื่นข้อเสนออย่างเป็นรูปธรรมในการแก้ปัญหาชาวอุยกูร์โดยไม่ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน” และขอให้ไทยพิจารณาข้อเสนอนั้น คุณรัศม์ตอบว่า ที่ผ่านมามีเพียงการเจรจาปากเปล่า ไทยไม่เคยทำหนังสือไปยังประเทศใด
ข้อโต้แย้งของดิฉันคือ แปลว่าไทยเองก็ไม่เคยจริงจังในการติดต่อประเทศที่สามให้มารับตัวชาวอุยกูร์ เนื่องจากในการดำเนินการทางการทูตปกติ การประสานงานจะเริ่มต้นด้วยการ approach ด้วยวาจาในระดับเจ้าหน้าที่ หากมีการตอบรับจึงจะดำเนินการด้วยเอกสาร ในเมื่อผู้แทนกระทรวงต่างประเทศและสภาความมั่นคงของไทย เคยยอมรับต่อกมธ. ในเดือน ก.ค. 67 และ ม.ค. 68 ว่ามีการทาบทามมาจากหลายประเทศ แต่ไทยไม่ตกลงเพราะเกรงผลกระทบจากจีน จึงไม่แปลกที่จะไม่มีการทำหนังสือขอตัวมาจากประเทศอื่น เนื่องจากการเจรจาไม่เป็นผลตั้งแต่ต้น
นอกจากนี้ ข้อเท็จจริงที่ว่ามีประเทศที่สามอย่างน้อย 3 ประเทศ ได้แก่สหรัฐฯ ออสเตรเลีย และสวีเดน (รอยเตอร์สรายงานว่ามีแคนาดาด้วย) ขอรับตัวชาวอุยกูร์ จึงเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าเป็นเรื่องจริง แม้คุณภูมิธรรมจะเคยระบุว่า 11 ปีที่ผ่านมาไม่เคยมีประเทศใดขอรับตัวชาวอุยกูร์
3.คุณรัศม์ยืนยันว่าข้อเท็จจริงที่สำคัญที่สุดของเรื่องนี้คือส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีนแล้วเขาจะปลอดภัยหรือไม่ เพื่อให้ตรงตามหลัก non-refoulement หรือห้ามส่งตัวคนกลับไปเผชิญอันตราย ซึ่งเป็นหลักการสำคัญที่ห้ามละเมิดในเวทีระหว่างประเทศ และคุณรัศม์ยืนยันว่าต้องเชื่อจีน ที่รับรองอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรว่าชาวอุยกูร์จะปลอดภัย เนื่องจากจีนเป็นมหาอำนาจ จะต้องรักษาคำพูด ส่วนกรณีการส่งตัว 10 ปีที่แล้ว ไม่อยู่ในอำนาจของรัฐบาลนี้ และจีนก็ไม่ได้รับรองความปลอดภัยเหมือนครั้งนี้
ข้อโต้แย้งของดิฉันคือ เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ตอนรัฐบาลประยุทธ์ส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีน รองโฆษกสำนักนายกไทย ก็แถลงแบบเดียวกันกับที่คุณภูมิธรรมและคุณรัศม์พูด คือรัฐบาลไทยได้รับคำยืนยันจากจีนว่าชาวอุยกูร์จะได้รับความเป็นธรรม ปลอดภัย และไทยสามารถส่งผู้แทนมาตรวจเยี่ยมที่จีนได้ แต่จนถึงวันนี้ ยังไม่มีใครรู้ว่าพวกเขามีชะตากรรมอย่างไร
นอกจากนี้ การยืนยันว่าเราต้องเชื่อจีนเพราะจีนรับรอง จีนเป็นชาติมหาอำนาจไม่ผิดคำพูด แปลว่าเราจะไม่เชื่อรายงานของข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติในปี 2022 และไม่เชื่อแถลงการณ์ร่วมของชาติสมาชิกสหประชาชาติ 51 ประเทศต่อที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติปี 2023 ที่ระบุว่ารัฐบาลจีนอาจกำลังกระทำการเข้าข่ายอาชญากรรมต่อมนุษยชาติต่อชาวอุยกูร์ ใช่หรือไม่
เรื่องนี้ดิฉันไม่ได้รับคำตอบจากคุณรัศม์
4.คุณรังสิมันต์ โรม ประธานกมธ. ถามคุณรัศม์ ว่าตกลงไทยได้ประโยชน์อะไรจากการส่งชาวอุยกูร์กลับจีน คุณรัศม์ตอบว่า การกักตัวชาวอุยกูร์ไว้ยาวนาน ถือเป็นการละเมิดสิทธิของพวกเขาอย่างมาก เมื่อทางการจีนขอตัวมา และรับรองความปลอดภัย การตอบรับคำขอของจีนจึงเป็นเรื่องที่ไทยคิดว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว
ข้อสังเกตของดิฉันคือ เรายังไม่ได้รับคำตอบเลยว่าตกลงไทยได้อะไรจากการทำตามคำขอของจีนในครั้งนี้ และเหตุใดไทยจึงไม่ส่งตัวชาวอุยกูร์ไปยังประเทศที่สามที่ขอรับกันหลายประเทศ ซึ่งจะทำให้ไทยไม่ต้องถูกประณามจากสหรัฐฯ อียู และอีกหลายชาติ เหมือนที่เป็นอยู่ตอนนี้
รัฐบาลไทยตัดสินใจครั้งนี้ ยึดผลประโยชน์ของคนไทย หรือใครกันแน่?
#เพื่อไม่พลาดข่าวสารดีๆ อย่าลืมกดติดตามพวกเรา TOJO NEWS