วิโรจน์ ชี้ ขึ้นสัญชาติให้กลุ่มชาติพันธุ์ถือเป็นเรื่องมีประโยชน์ ไม่เหมือนการโอนสัญชาติให้คนอย่างตู้ห่าว!!
ผู้สื่อข่าวโตโจ้นิวส์รายงานว่า นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า
ผมคิดว่าการให้สัญชาติกับกลุ่มชาติพันธุ์ที่ขึ้นทะเบียนไว้แล้วจำนวน 4.83 แสนคน กับการโอนสัญชาติของกลุ่มสีเทา หรืออาชญกรข้ามชาติ อย่างกรณีตู้ห่าว นั้นเป็นคนละประเด็นกันครับ
การให้สัญชาติไทยกับกลุ่มชาติพันธุ์จำนวน 4.83 แสนคน ที่เสนอโดยสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) แท้ที่จริงแล้ว เป็นปรับปรุงขั้นตอนในการให้สัญชาติไทยให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น มีการนำเอาเทคโนโลยีในการระบุอัตลักษณ์มาใช้ ทั้งการเก็บรอยนิ้วมือในระบบคอมพิวเตอร์ และระบบไบโอเมตริกซ์ และเป็นการให้สัญชาติกับกลุ่มเป้าหมายเดิม ตามมติ ครม. วันที่ 26 ม.ค.64 ไม่ได้เป็นการให้สัญชาติกับกลุ่มเป้าหมายใหม่แต่อย่างใด
ย้ำว่าเป็นการให้สัญชาติกับกลุ่มเป้าหมายเดิมนะครับ
ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อความมั่นคง และความปลอดภัยต่อสาธารณะ ที่สำคัญเป็นการพิจารณาให้สัญชาติกับผู้ที่ยื่นขอเอาไว้กับทางราชการมากว่า 30 ปี มาแล้ว ซึ่งปัจจุบันยังตกค้างอยู่อีกประมาณ 4.83 แสนคน
ซึ่งทาง สมช. เห็นว่าหากยังใช้ขั้นตอนงานเอกสารแบบเดิมๆ ก็อาจจะต้องใช้เวลาถึง 44 ปี จึงจะแล้วเสร็จ ซึ่งที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2535-2566 จากผู้ที่ขอยื่นทั้งหมด 8.25 แสนคน ผ่านมา 31 ปี อนุมัติไปได้แค่ 3.24 แสนคน เท่านั้น
สำหรับขั้นตอนการให้สัญชาติ ก็มีหลักเกณฑ์ที่รัดกุมชัดเจน (อ้างอิง: https://policywatch.thaipbs.or.th/article/government-85)
สำหรับกลุ่มบุคคลที่อพยพเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน ก็ต้องมีภูมิลำเนาและอาศัยอยู่ในราชอาณาจักรไทย ติดต่อกันต่อเนื่อง ไม่น้อยกว่า 15 ปี มีการตรวจสอบประวัติอาชญากรร รวมทั้งมีการพิจารณาถึงการศึกษาร่วมด้วย
สำหรับเด็กซึ่งเป็นลูกของกลุ่มชาติพันธุ์ ก็ต้องมีหลักฐานการเกิดในราชอาณาจักรไทย พ่อแม่ก็ต้องเป็นผู้ที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยไม่น้อยกว่า 15 ปี และได้รับการจัดทำทะเบียนประวัติไว้แล้ว
ที่สำคัญ หากปรากฏภายหลังว่าผู้ได้มาซึ่งสัญชาติไทยไม่มีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์ ก็สามารถถูกเพิกถอนสัญชาติไทยได้ ตามมาตรา 17 และมาตรา 18 ของ พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ.2508 และคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 9/2567
ประเด็นที่น่าเป็นห่วงจริงๆ น่าจะเป็นการเข้ามาจดทะเบียนประกอบกิจการของกลุ่มทุนสีเทา และอาชญากรข้ามชาติ ที่อาศัยนอมินีให้มาเป็นผู้ถือหุ้น รวมทั้งว่าจ้างนอมินีให้มาแต่งงาน แล้วขอโอนสัญชาติ แล้วก็เข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ เพื่อลงหลักปักฐานทำธุรกิจผิดกฎหมาย ซึ่งจำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ควบคู่ไปกับการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายอีกหลายฉบับ (อ้างอิง: https://www.prachachat.net/property/news-1204580) อาทิ
ปราบปรามการใช้นอมินี (Nominee) โดยให้เพิกถอนบริษัทที่เป็นเครื่องมือให้ในการจัดหานอมินี และจดจัดตั้งนิติบุคคลให้กับกลุ่มทุนสีเทา
ทบทวน และปรับปรุงเงื่อนไขการซื้ออสังหาริมทรัพย์ของชาวต่างชาติ ให้มีความเหมาะสมเพิ่มขึ้น อาทิ การกำหนดราคาขั้นต่ำของชาวต่างชาติที่จะซื้ออสังหาริมทรพย์ และให้ต่างชาติเสียภาษีซื้ออสังหาริมทรัพย์ ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ภาษีจากการขายต่อ และภาษีมรดก ในอัตราที่สูงขึ้น
ห้ามชาวต่างชาติซื้อบ้านมือสอง หรือถ้าซื้อแล้วห้ามขายต่อในระยะเวลาหนึ่ง เช่น 3 ปี เป็นต้น
ทบทวน และปรับปรุงมาตรการส่งเสริมการลงทุนตามประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนที่ 6/2565 ที่ให้ต่างชาติซื้อที่ดินนิคมอุตสาหกรรมได้ 5 ไร่เพื่อประกอบการ 10 ไร่ เพื่อการอยู่อาศัยของผู้บริหารต่างชาติ และ 20 ไร่ เพื่อสร้างที่อยู่อาศัยให้กับคนงานของกิจการ
ทบทวน และปรับปรุง พ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2561 ในหลายมาตรา ที่ไม่เป็นธรรม อาทิ มาตรา 35, 49, 52, 58 และ 59
การปราบปรามกลุ่มสีเทา หรืออาชญากรข้ามชาติ ต้องเน้นที่การปราบปราม “นอมินี” ตรวจสอบประวัติอาชญากรรมของผู้ถือหุ้นชาวต่างชาติ ณ ประเทศต้นทาง พร้อมกับตรวจสอบงบการเงินของบริษัทที่มีชาวต่างชาติถือครองหุ้น 49% อย่างเข้มงวด เพื่อให้มั่นใจว่าบริษัทมีวัตถุประสงค์ในการประกอบธุรกิจสุจริต ไม่ได้ตั้งขึ้นมาเพื่อฟอกเงินสีดำ หรือสีเทา
การโอนสัญชาติโดยการแต่งงาน ก็ต้องมีการตรวจสอบอย่างเข้มงวดว่ามีการแต่งงาน และเป็นคู่สมรสกันจริงๆ ไม่ได้เป็นการว่าจ้าง “นอมินี” ให้มาจดทะเบียนสมรส เพื่อโอนสัญชาติ ที่สำคัญต้องมีการตรวจสอบประวัติอาชญากรรมของชาวต่างชาติ ณ ประเทศต้นทางร่วมด้วย เพื่อให้มั่นใจว่าไม่ใช่ผู้ต้องหาหลบหนีคดีจากประเทศต้นทาง
ที่สำคัญที่สุดก็คือจะต้องมีมาตรการลงโทษเจ้าหน้าที่รัฐที่เข้าไปอำนวยความสะดวก หรือรับใช้กลุ่มสีเทา หรืออาชญากรข้ามชาติอย่างหนัก เพราะ การที่กลุ่มสีเทา สามารถขอสัญชาติได้โดยสะดวก รวมทั้งสามารถประกอบธุรกิจผิดกฎหมายตามอำเภอใจ จนมีเครือข่ายใหญ่โตในประเทศไทยได้ ล้วนต้องมีการเสนอผลประโยชน์ให้กับเจ้าหน้าที่รัฐบางกลุ่ม เพื่อแลกกับการอำนวยความสะดวก หรือการเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ อย่างแน่นอน
ผมคิดว่าคนที่มีสัญชาติไทยในปัจจุบัน หากสืบสาวถึงต้นตอของบรรพบุรุษกันจริงๆ ก็จะพบว่า มีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่มีบรรพบุรุษ เป็นชาวจีนโพ้นทะเล ที่อพยพมาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร บ้างก็เป็นชาวรามัญ หรือชาวมอญ บ้างก็เป็นชาวไทยอง ไทลื้อ ภูไท มลายู ฯลฯ แต่ทุกวันนี้พวกเราล้วนเป็นคนไทยร่วมกัน
การให้สัญชาติกับคนที่มี “ความเป็นคนไทย” โดยกายภาพ ตั้งใจที่จะลงหลักปักฐานเป็นพลเมืองที่ดีทีนี่ ผมถือว่าเป็นโอกาสที่ประเทศของเราจะได้มีประชากรในวัยแรงงานเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ เมื่อคนกลุ่มนี้เข้าถึงการศึกษา และสวัสดิการที่พึงมีต่างๆ เขาก็จะสามารถพัฒนาตนเองให้เป็นประชากรที่มีคุณภาพ ที่จะเป็นผู้เสียภาษีให้กับรัฐ ประเทศก็จะมีรายได้ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และปรับปรุงสวัสดิการให้กับประชาชนในภาพรวมให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป
ถ้ามองในมุมของความมั่นคง การให้สัญชาติกับคนที่มีความเป็นคนไทยโดยกายภาพอยู่แล้ว ย่อมทำให้รัฐมีระบบทะเบียนราษฎร์ที่ครบถ้วนของคนกลุ่มนี้ ทำให้รัฐสามารถติดตาม ตรวจสอบ และบังคับใช้กฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ เสมอเหมือนกับคนไทยคนอื่นๆ ซึ่งเป็นผลดีต่อความปลอดภัยสาธารณะมากกว่า การปล่อยให้คนกลุ่มนี้อาศัยอยู่ในสังคม โดยที่ไม่มีระบบทะเบียนที่มีประสิทธิภาพ
ผมไม่เห็นด้วย กับกลุ่มสีเทา หรืออาชญากรข้ามชาติ ที่เข้ามาสยายปีก ทำธุรกิจผิดกฎหมายในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น ยาเสพติด แก๊งคอลเซ็นเตอร์ พนันออนไลน์ บ่อนการพนัน การลักลอบขายสินค้าหนีภาษี สินค้าผิดลิขสิทธิ์ หรือสินค้าผิดกฎหมาย อยู่แล้ว ซึ่งผมยืนยันว่า มีความจำเป็นต้องปราบปรามอย่างเด็ดขาด
แต่สำหรับการให้สัญชาติกับกลุ่มชาติพันธุ์ ที่ตกค้างอยู่ 4.83 คนนั้น เป็นคนละเรื่องกันจริงๆ
จึงขอให้ความเห็นไว้ที่โพสต์นี้ เพื่อให้ทุกๆ ท่านคลายความกังวลใจครับ
#เพื่อไม่พลาดข่าวสารดีๆ อย่าลืมกดติดตามพวกเรา TOJO NEWS