“ทิพานัน” เผยภาพรวม BCG ไทยคืบหน้าแล้ว 30% ยกกระแสรถ EV-พลังงานทดแทน
ผู้สื่อข่าวโตโจ้นิวส์รายงานว่า น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากเป้าหมายของไทยที่จะลดการปล่อย ‘ก๊าซเรือนกระจก’ ให้ได้ 20-25% หรือ 111-139 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ภายในปี 2573 เพื่อแก้ปัญหาโลกร้อน ส่งต่อสิ่งแวดล้อมที่ดีให้คนรุ่นถัดไป ดังนั้นแม้การประชุมเอเปก 2022 จะผ่านพ้นไป แต่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กำชับให้ทุกภาคส่วนผลักดันเป้าหมายกรุงเทพฯ คือแนวการพัฒนาเศรษฐกิจBCGไปสู่การปฏิบัติอย่างเข้มข้น
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายสุพัฒนพงศ์ พันธุ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน จึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมตระหนักถึงความสำคัญของแนวทาง BCG ที่จะนำไปสู่การพัฒนาอย่างยืนโดยประยุกต์แนวทางBCG มาใช้ตั้งแต่ระดับบุคคลในชีวิตประจำวัน ต่อยอดไปสู่ชุมชน และอุตสาหกรรมใหญ่ ขณะนี้ภาพรวมของการพัฒนา BCG ในประเทศไทยมีความคืบหน้าไปกว่า 30% แล้ว ในระยะต่อไป 70% ที่เหลือคาดว่าจะบรรลุเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว
เนื่องจากมีการขยายผลไปอย่างกว้างขวาง โดยจะเห็นได้จากการประยุกต์ใช้แนวทาง BCG ในครัวเรือน การแยกขยะ ทำโรงเรือนปลูกผัก การทำปุ๋ยจากเศษอาหาร ไปจนถึงเปลี่ยนพืชพันธุ์เกษตรเป็นพลาสติกชีวภาพที่ย่อยสลายได้ เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EECI โรงกลั่นชีวภาพที่สามารถแยกสารต่าง ๆ ออกจากผลิตภัณฑ์การเกษตรต่าง ๆ สร้างมูลค่าเพิ่มนำไปต่อยอดได้ โดยปัจจุบันมีบางโรงงานพลาสติกชีวภาพ หรือไบโอพลาสติกในเมืองไทยเกิดขึ้นแล้ว
หากสำเร็จโดยพร้อมเพรียงกันจะใหญ่ที่สุดในโลก โรงไฟฟ้าชีวมวล โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ไทยเป็นรายแรกๆของโลกที่เอาโซล่าเซลล์ไปวางบนแผ่นน้ำ ไม่ต้องเปลืองที่ดิน ที่เห็นผลทันทีคือกระแสตื่นตัวซื้อยานยนต์ไฟฟ้า หรือรถ EV และการลงทุนจากผู้ผลิตทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งรถขนส่งมวลชนในกรุงเทพฯที่เป็นรถไฟฟ้า จึงเป็นเหตุผลที่รัฐบาลยกประเด็น BCGเป็นเป้าหมายกรุงเทพฯในการประชุมเอเปค2022 เพื่อให้สินค้า BCG เป็นสินค้าที่ไร้พรมแดน สามารถขายได้ทุกประเทศ โดยที่ไม่มีข้อต่อรองทางการค้ามากจนเกินไป เป็นการยกระดับ BCG ให้เป็นวัตถุประสงค์ร่วมกันของคนทั้งโลก
“จะเห็นได้ว่า แนวทาง BCG ได้เกิดขึ้นในประเทศไทยแล้วมีความก้าวหน้าไปอย่างมาก โดยที่หลายฝ่ายอาจไม่ทันรู้ตัวถึงความเปลี่ยนแปลง สะท้อนความสำเร็จของรัฐบาลได้พลิกโฉมเศรษฐกิจและสังคมไปสู่วิถีใหม่ ของการพัฒนาอย่างยั่งยืนเพื่อรักษาทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ให้กับประชากรไทยและประชากรโลก และอนาคตที่ดีของคนรุ่นถัดไป ควบคู่ไปกับเศรษฐกิจปากท้องของประชาชนที่ดีขึ้นทุกระดับไปจนถึงฐานราก”
#เพื่อไม่พลาดข่าวสารดีๆ อย่าลืมกดติดตามพวกเรา TOJO NEWS