Connect with us

News

ทะเลเกาะล้านกลายเป็นสีเขียว!! อ.เจษฎ์ เผย เป็นเรื่องใหญ่ ไม่ควรประมาท!

Published

on

อ.เจษฎ์ ให้ความรู้! ปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสีที่เกาะล้าน แท้จริงคืออะไร?

ผู้สื่อข่าวโตโจ้นิวส์รายงานว่า อ.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ก อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์ ระบุว่า

“ปรากฏการณ์ทะเลเปลี่ยนสี เป็นเรื่องใหญ่ ที่ไม่ควรประมาทครับ”

สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีรายงานข่าวถึงกรณีที่เกิดน้ำทะเลเปลี่ยนสี กลายเป็นสีเขียว ที่เกาะล้าน พัทยา ทำเอานักท่องเที่ยวถึงกับหมดอารมณ์เที่ยวในวันหยุดยาว กันเลยทีเดียว กับการเกิดแพลงก์ตอนบลูม หรือปรากฏการณ์ขี้ปลาวาฬ

ต่อมาทางกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ได้โพสต์ข้อมูลผ่านระบบรายงานสถานการณ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งประจำวัน (e-Daily Report) ในวันที่ 30 กรกฏาคม 2566 (ดู https://edailyreport.dmcr.go.th/milestone/detail/9313) ว่าทางกรม ทช. โดยศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยฝั่งตะวันออก (ศวทอ.) ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสี บริเวณหาดตาแหวน เกาะล้าน จ.ชลบุรี ตามที่ได้รับทราบข่าวแล้ว

โดยเจ้าหน้าที่ได้ทำการสำรวจจุดแจ้งเหตุ และบริเวณใกล้เคียง พบว่ามีปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสี 5 บริเวณ ได้แก่ ทางเดินเรือระหว่างเกาะล้าน-พัทยาใต้ , หาดหน้าบ้าน , หาดตาแหวน และหาดเทียน ในพื้นที่เกาะล้าน และเกาะสาก

เบื้องต้นพบว่า น้ำทะเลมีสีเขียว มีกลิ่นเหม็น แต่จากการตรวจวัดคุณภาพน้ำเบื้องต้น มีค่าอุณหภูมิ 30.1-31.2 องศาเซลเซียส , ความเค็ม 30.9-31.8 ส่วนในพันส่วน , ความเป็นกรดและด่าง 8.16-8.31 และออกซิเจนละลาย 4.20-7.69 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งยังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพน้ำทะเลประเภทที่ 4 เพื่อการนันทนาการ

ทั้งนี้ ยังไม่ส่งผลกระทบต่อสัตว์น้ำ และจากการจำแนกชนิด ทราบว่าเกิดจากการสะพรั่ง (bloom) ของแพลงก์ตอนพืช สาหร่ายเซลเดียว กลุ่มไดโนแฟลกเจลเลต (dinoflagellate) ชนิด น็อคติลูกา ซินทิลแลนส์ Noctiluca scintillans ซึ่งแพลงก์ตอนพืชชนิดนี้ “ไม่สร้างสารชีวพิษ” … ศูนย์วิจัยฯ จะติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิดต่อไป

ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องโชคดีมาก ที่การเกิดปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสีที่เกาะล้านครั้งนี้ เกิดจากแพลงค์ตอนชนิดที่ไม่สร้างสารพิษ เพราะมีแพลงค์ตอนอีกหลายชนิดที่เกิดการสะพรั่ง เพิ่มจำนวนขึ้น และเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตในน้ำรวมถึงมนุษย์ได้ เนื่องจากเป็นชนิดที่สร้างสารพิษที่ร้ายแรงได้ด้วย

เลยขอเอาความรู้เกี่ยวกับปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสี มาเรียบเรียงให้อ่านกันนะครับ

ปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสีคืออะไร

  • เป็นปรากฏการณ์ที่น้ำทะเลหรือน้ำกร่อย เกิดการเปลี่ยนสีอย่างรวดเร็ว อาจจะเกิดขึ้นต่อเนื่องเพียง 3-4 วัน หรือนานเป็นเดือนได้ (แต่ไม่นานขนาดเป็นฤดูกาล) มีชื่อเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า red tide และชื่อเรียกแบบชาวประมงไทยว่า ขี้ปลาวาฬ หรือ น้ำแดง
  • มีสาเหตุมาจากการเติบโตและเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว ของแพลงก์ตอนพืช ในทะเล เนื่องจากน้ำมีปริมาณธาตุอาหารที่ใช้ในการเติบโตละลายอยู่มาก สภาพแวดล้อมเหมาะสมต่อการเติบโตของแพลงค์ตอนพืช จนทำให้พวกมันเพิ่มจำนวนมากขึ้น ทำให้ทะเลเปลี่ยนเป็นสีต่างๆ เช่น แดง น้ำตาลแดง เหลือง หรือเขียว ขึ้นกับชนิดหลักๆ ของแพลงก์ตอนพืชนั้น
  • เป็นคนละปรากฏการณ์กับคำว่า “eutrophication” ซึ่งแหล่งน้ำมีปริมาณสารอนินทรีย์ ที่เป็นสารประกอบของไนโตรเจนหรือฟอสฟอรัสมาก ทำให้พืชหรือสาหร่ายในแหล่งน้ำเติบโตดีจนทำให้น้ำมีสีเข้มขึ้น แต่จะไม่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันอย่างปรากฏการณ์ red tide น้ำทะเลเปลี่ยนสี และมักจะเกิดขึ้นเป็นเวลายาวนาน อาจจะเป็นปีเลยก็ได้
  • แพลงต์ตอนพืชที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสี นั้นมีทั้งกลุ่มที่มีพิษ และไม่มีพิษ โดยถ้าเกิดจากแพลงก์ตอนพืช กลุ่มไดโนแฟลคเจลเลท มักจะทำให้เกิดความเป็นพิษต่อสัตว์น้ำหรือผู้ที่บริโภคสัตว์น้ำในบริเวณที่มีการเกิดปรากฏการณ์นี้ขึ้น เนื่องจากสารพิษชนิด Paralytic Shellfish Poisoning (PSP) Toxin ที่แพลงค์ตอนสร้างขึ้น
  • สำหรับในประเทศไทย ได้มีรายงานการเกิดปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสีในอ่าวไทย ตั้งแต่ พ.ศ. 2495 และในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2526 ก็เคยพบที่บริเวณปากแม่น้ำปราณ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และเป็นสาเหตุให้มีคนป่วยถึง 63 คน เสียชีวิต 1 คน เนื่องจากบริโภคหอยแมลงภู่ในบริเวณที่เหตุ ซึ่งมีสารพิษ PSP toxin อยู่ในหอย
  • มีรายงานการเกิดปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสีในประเทศไทยเพิ่มขึ้นและบ่อยครั้งขึ้นในปีหนึ่งๆ และจากการสำรวจการเกิดปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสีในอ่าวไทยช่วงปี พ.ศ. 2524 – 2530 พบว่ามักจะเกิดระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนพฤษภาคม
  • แพลงก์ตอนพืช ที่เป็นสาเหตุของการเกิดปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสี มีทั้งกลุ่ม Phytoflagellate, Diatom และ Blue green algae เช่น แพลงก์ตอนในสกุล Noctiluca, Ceratium, Trichrodesmium (Oscillatoria), Dinophysis, Chaetoceros, Rhizosolenia, Cylindrotheca และ Hastea เป็นต้น
  • ปัจจุบัน ในประเทศไทยมีปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสีของแพลงค์ตอนพืช ชนิด Noctiluca scintillans และ Trichodesmium erythraeum เกิดขึ้นในอ่าวไทยทุกปี

ปัจจัยที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสี

  • การเกิดปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสีเป็นเรื่องที่ซับซ้อน เพราะมีสาเหตุมาจากแพลงก์ตอนพืชหลายชนิด ซึ่งชนิดที่ต่างกัน กระบวนการเกิดปรากฏการณ์ก็จะแตกต่างกันไปด้วย ดังเช่น ถ้าเกิดในประเทศเขตอบอุ่น (บริเวณที่อยู่ในแถบละติจูดสูง) ก็มักจะเกิดในช่วงฤดูร้อน และอยู่บริเวณใกล้ชายฝั่ง ขณะที่ในประเทศเขตร้อนนั้น มักจะเกิดช่วงฤดูฝน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเกิดฝนตกอย่างหนัก และบางครั้งอาจเกิดหลังจากเกิดการน้ำผุด (Upwelling) หรือ
    มีพายุ
  • แสง : แพลงก์ตอนพืชต้องอาศัยแสงในการสังเคราะห์ด้วยแสง แสงยังมีส่วนช่วยในการฟักตัวของสปอร์ของแพลงก์ตอนพืชอีกด้วย จึงมักจะเกิดปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสีขึ้นหลังจากที่มีช่วงที่ท้องฟ้าโปร่ง และมีความเข้มแสงค่อนข้างมาก เป็นเวลาติดต่อกันหลายวัน
  • อุณหภูมิ : แพลงก์ตอนพืชแต่ละชนิดเติบโตได้แตกต่างกัน ภายใต้อุณหภูมิที่แตกต่างกัน ดังนั้น ปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสีที่เกิดจากแพลงก์ตอนพืชชนิดหนึ่ง ก็มักจะเกิดขึ้นในช่วงที่มีอุณหภูมิจำเพาะต่อแพลงค์ตอนชนิดนั้น เช่น ถ้าเกิดจากแพลงก์ตอนพืช สกุล Chattonella ก็มักจะเกิดขึ้นในช่วงที่อุณหภูมิของน้ำทะเลสูงกว่า 20 องศาเซลเซียส , ส่วนแพลงก์ตอนพืช สกุล Chaetoceros หรือ Coscinodiscus มักจะเกิดในช่วงที่อุณหภูมิของน้ำทะเลต่ำกว่า 20 องศาเซลเซียส , สำหรับประเทศไทย อุณหภูมิของน้ำทะเลตลอดทั้งปีค่อนข้างจะคงที่
  • ปัจจัยทางเคมี ได้แก่ ปริมาณสารอาหารที่มีอยู่ในแหล่งน้ำนั้นๆ ที่มีความเกี่ยวข้องโดยตรง คือ แอมโมเนียม (NH4+) ซิลิเกต (Si(OH)4) ไนเตรต (NO3-) และ ฟอสเฟส (PO43-)
  • สังเกตได้ว่า ปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสีมักจะเกิดขึ้นหลังจากที่มีฝนตกอย่างหนัก หรือมีพายุเข้ามา ตามด้วยการมีท้องฟ้าที่แจ่มใสต่อกันอีก 2 ถึง 3 วัน ซึ่งเป็นไปได้ว่า แพลงก์ตอนพืชได้รับสารอาหารที่ละลายอยู่ในน้ำฝนที่ไหลลงสู่ทะเล เนื่องจากการจากการกัดเซาะผ่านผิวดินของน้ำฝน ตลอดจนน้ำจากแหล่งชุมชนที่มีสารอาหารสูง ถูกฝนพัดลงมา กอปรกับการมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเติบโตของแพลงก์ตอนพืช ทาให้แพลงก์ตอนพืชเหล่านี้
    สามารถแบ่งเซลล์และเพิ่มจำนวนมากขึ้นจนเกิดเป็นปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสีได้ ในที่สุด

ผลกระทบของปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสี

  • ปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสี สามารถส่งผลกระทบได้โดยตรงต่อมนุษย์ เนื่องจากถ้าน้ำทะเลเปลี่ยนสีเกิดขึ้นจากแพลงก์ตอนพืช ที่มีพิษ เมื่อแพลงก์ตอนเหล่านี้ถูกหอยชนิดต่าง ๆ กินเข้าไป ก็จะถูกสะสมไว้ในหอยเหล่านั้น และเมื่อมนุษย์บริโภคหอย ก็จะได้รับพิษของแพลงก์ตอน จนทำให้มีอาการเจ็บป่วย หรืออาจเสียชีวิตได้ ถ้าเป็นพิษที่ร้ายแรง เช่น พิษอัมพาต (PSP Toxin)
  • ผู้ที่ได้รับพิษชนิดนี้ในปริมาณที่เป็นอันตรายถึงตาย จะมีอาการลิ้นชาภายใน 15 นาทีหลังจากได้รับพิษ จากนั้น จะมีอาการปวดหัว ปวดตามแขน ปวดหน้าท้อง เสียการทรงตัวและเดินเซไปเซมา เป็นอัมพาต อาเจียน ตาลายไม่ได้สติ ระบบหายใจล้มเหลว และเสียชีวิตในที่สุด (ถ้าได้รับการบำบัดทันเวลา ก็จะไม่ถึงกับเสียชีวิต แต่ถ้าเกินกว่าเดินเซไปเซมาแล้ว ก็ไม่สามารถช่วยได้)
  • ในประเทศไทย เคยมีรายงานการเสียชีวิต เนื่องจากได้รับพิษอัมพาตจากการเกิดปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสี บริเวณปากแม่น้ำปราณ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2526 และมีผู้ป่วยเนื่องจากได้รับพิษครั้งนี้ถึง 63 คน
  • ในช่วงสองทศวรรษ ในประเทศฟิลิปปินส์ มีรายงานการเสียชีวิตและป่วยเนื่องจากได้รับพิษอัมพาต จากการเกิดปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสีของแพลงค์ตอน ชนิด Pyrodinium bahamense นับเป็นร้อย ๆ คนเกือบทุกปี
  • นอกจากพิษอัมพาตแล้ว มนุษย์ยังอาจได้รับพิษจนทำให้ท้องร่วง (Diarrhetic Shellfish Poisoning) เนื่องจากการเกิดปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสีของแพลงก์ตอนพืชชนิด Dinophysis sp. อีกด้วย ซึ่งมีการเข้าใจผิดคิดว่าการท้องร่วงเนื่องจากติดเชื้อแบคทีเรีย เพราะการได้รับพิษชนิดนี้มีอาการคล้ายกับอาหารเป็นพิษเนื่องจากแบคทีเรียอย่างมาก
  • ยังส่งผลกระทบต่อสัตว์น้ำอีกด้วย มีรายงานการตายของปลาและสัตว์น้ำอื่น ๆ ในธรรมชาติเนื่องจากปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสีมากมาย และยังมีรายงานปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสีเกิดขึ้นบ่อยครั้งในบ่อเลี้ยงกุ้งกุลาดำอีกด้วย
  • ถึงแม้จะมีการรายงานถึงการสูญเสียเนื่องจากการตายของสัตว์น้ำเพียงบางแห่ง และตีเป็นตัวเงินเพียงไม่กี่สิบล้านบาท แต่ก็ต้องยอมรับว่าการสูญเสียโดยรวมนั้นมีค่อนข้างมาก
  • การเกิดปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสีของแพลงก์ตอนชนิดที่มีพิษ ยังส่งผลกระทบถึงอุตสาหกรรมประมง เนื่องจากประชาชนกลัวที่จะได้รับพิษเนื่องจากบริโภคสัตว์น้ำทะเลอีกด้วย
  • นอกจากนี้ ยังมีการสูญเสียที่ไม่สามารถตีมูลค่าเป็นตัวเงินได้ เช่น เรื่องของการลดลงของการท่องเที่ยว เนื่องจากเสียทัศนียภาพและกลิ่นที่รบกวน เป็นต้น
  • แต่ปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้ อาจจะมีประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม เพราะทำหน้าที่ในการปรับสมดุลในธรรมชาติ โดยการเพิ่มขึ้นของแพลงค์ตอนพืชในน้ำ จะเป็นการลดปริมาณธาตุอาหารที่มีมากเกินไปในแหล่งน้ำได้
  • และหากพิจารณาถึงเรื่องของ ห่วงโซ่อาหาร ก็อาจกล่าวได้ว่า แพลงก์ตอนพืชที่เพิ่มขึ้นเหล่านี้จะกลายเป็นอาหารของแพลงก์ตอนสัตว์ และแพลงค์ตอนสัตว์ก็เป็นอาหารของสัตว์น้ำอื่นๆ ต่อไปเรื่อยๆ ได้

การควบคุมปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสี

  • การควบคุมการและป้องกันปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสีนั้น ทำได้ยากมาก เพราะเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน
  • สิ่งที่พอจะทำได้ คือ การหมั่นตรวจสอบความหนาแน่นของแพลงก์ตอนพืชในแหล่งน้ำอยู่เป็นประจำ เพื่อที่จะได้ทำการแจ้งเตือนประชาชนทั่วไปได้รับทราบเมื่อมีเพิ่มจำนวนมากขึ้น ให้ระวังเรื่องการบริโภคสัตว์น้ำเมื่อถ้าเกิดจากแพลงก์ตอนชนิดที่มีพิษ (หน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง ได้แก่ กรมประมง)
  • ปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสีเกิดขึ้นในพื้นที่ที่เป็นทะเลเปิด ทำให้ควบคุมได้ยากมาก แต่ถ้าเป็นพื้นที่ทะเลปิดหรือกึ่งปิด ที่พื้นที่ไม่กว้างมากนัก ก็มีงานวิจัยที่จะควบคุม โดยการใช้สิ่งมีชีวิตด้วยกัน เช่น แบคทีเรียบางชนิด มาควบคุมแพลงค์ตอนพืช และมีงานวิจัยที่ใช้สารเคมีอย่าง โซเดียมเพอร็อกโซคาร์บอเนต sodium peroxocarbonate (Na2CO3.3/2H2O2) มาควบคุมการเกิดปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสีของแพลงค์ตอน ชนิด Chattonella antiqua ในอ่าวปิดเล็ก ๆ แห่งหนึ่งทางตอนใต้ ของประเทศญี่ปุ่น

#เพื่อไม่พลาดข่าวสารดีๆ อย่าลืมกดติดตามพวกเรา TOJO NEWS

Continue Reading
Advertisement ad-02-doosoft.jpg
Advertisement QK6ZtN.png

Copyright © 2022 TOJO.NEWS

%d bloggers like this: