ทนายเชาว์ มีขวด เผยกรณีพยานหลักคดีค้นบ้านบิ๊กโจ๊กตามสื่อโซเชียล ชี้ แม้แต่ที่ทนายอนันนต์ชัยพลั้งปาก ยังอาจเป็นการรับสารภาพ??
ผู้สื่อข่าวโตโจ้นิวส์รายงานว่า ทนายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก กรณีพยานหลักฐานบ้านบิ๊กโจ๊ก โดยระบุว่า
พยานหลักฐานคดีค้นบ้าน “บิ๊กโจ๊ก” ที่จ้อกันในหน้าสื่อโซเชียลใช้เป็นพยานหลักฐานในศาลได้หรือไม่
มีถามกันมาเยอะว่าพยานหลักฐานที่คู่ความทั้งสองฝ่ายพูดตอบโต้กันไปมารวมทั้งภาพถ่ายวัสดุสิ่งของที่ปรากฎในสื่อหลักและสื่อโซเชี่ยลใช้อ้างเป็นพยานหลักฐานในศาลได้หรือไม่ เพราะในปัจจุบันเมื่อมีคดีสำคัญเป็นที่สนใจสื่อก็จะเกาะติดเจาะข่าวจากพยานในที่เกิดเหตุ ผู้ต้องหา ผู้เสียหาย รวมทั้งทนายความก็จะถูกเชิญมาให้สื่อได้ซักกันกลางสาธารณะก่อนคดีจะขึ้นสู่ศาลเรียกว่าแทบจะไม่มีอะไอที่จะต้อสืบพยานกันอีก อย่างเช่นคดีที่ตำรวจไซเบอร์นำหมายศาลบุกค้นค้นบ้านพักพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาลหรือบิ๊กโจ๊ก และปฏิบัติการปูพรหมพร้อมกันอีก 30 จุดเพื่อจับผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องกับพนันออนไลน์และฟอกเงิน จนสามารถจับผู้ต้องหาตามหมายจับซึ่งเป็นนายตำรวจมือทำงานข้างกายพลเอกสุรเชษฐ์ได้ถึง 8 คน ที่มีเส็นเงินโยงถึงบิ๊กโจ๊กและคนในครอบครัว
พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ออกมาตอบโต้การกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดนำค้นอย่างรุนแรง และให้สัมภาษณ์สื่อทันทีรับว่าบ้าน 5 หลังเป็นของตนแต่ใช้ชื่อญาติสนิทที่สงขลาเป็นผู้ซื้อ แต่เมื่อตรวจสอบชื่อเจ้าของบ้านที่จริง ปรากฏว่าคือเฮียแต่๋ม เป็นคนจังหวัดอุดรธานี ไม่ได้เป็นญาติสนิทอะไรกันกับบิ๊กโจ๊ก บิ๊กโจ๊กยอมรับและอ้างว่านับถือกันเป็นญาติ และยอมรับว่สตนเองเช่าบ้านจากเฮียแต๋ม 2 หลังเดือนละ 5 หมื่นบาท แต่เมื่อตรวจสอบหลักฐานการชำระค่าจ่ายส่วนกลางกลับพบว่าเฮียแต๋มเป็นคนจ่ายค่าใช้จ่ายส่วนกลางให้กับหมู่บ้านทุกปี
ในสถานการณ์ที่เริ่มจนกระดาน พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์จึงตั้งทีมทนายอนันต์ชัย ไชยเดช สู้คดีค้นบ้านไม่เป็นธรรม โดยแบ่งทีมทนายเป็น 2 ส่วน 1. คนที่มารังแก บิ๊กโจ๊ก 2. คดีตำรวจ 8 นาย ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของบิ๊กโจ๊ก วันแรกที่รับงานทนายอนันต์ชัย ให้สัมภาษณ์สื่อหลายรอบ แต่ช่วงสำคัญคือการ นำผู้ต้องหาตามหมายจับตั้งแปดคนซึ่งล้วนแต่เป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่มึงทำงานของบิ๊กโจ๊กตั้งโต๊ะแถลงข่าวที่บริเวณสำนักงานนายอนันตชัยนำบิ๊กโจ๊กมานั้งหน้าคู่กันทนายนันตชัย ด้านหลังแวดล้อมด้วยนายตำรวจลูกน้องคู่ใจที่ถูกออกหมายจับ
เรียกว่าเปิดหน้าสู้ตามแนวทางการเดินเกมส์ของทนายอนันต์ชัย จนทุกคนรู้สึกงง กับสถานะของรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่แวดล้อมไปด้วยผู้ต้องหาที่ถูกจับ ว่านี่คือการแถลงข่าวการจับกุมคนร้ายหรือแถลงผลงานอะไรกันแน่ จับประเด็นในวันนั้นนอกจากคำแก้ตัววัวพันหลักของผู้ต้องหาแต่ละคนรวมทั้งพลเอกสุรเชษฐ์แล้ว ทนายอนันต์ชัยก็หลุดคำพลังปากออกไปว่า “น้องพวกนี้เขาทำความดีมาทั้งชีวิต มาผิดครั้งเดียวจะเอากันให้ตายเชียวหรือ “ นอกจากคำสัมภาษณ์เหล่านี้ยังมีสื่อโซเชียลหลายช่องก็ได้ตะเวนเกาะเจาะติดไปยังแหล่งข่าวต่างๆอีกมากมายไม่ว่าจะเป็นเส้นเงินรวมทั้งผู้ที่ตกเป็นเหยื่อบัญชีม้าหลักฐานรูปถ่ายความสัมพันธ์ของบุคคลต่างๆที่อยู่ในขบวนการพนันออนไลน์และฟอกเงิน
ถามว่าพยานหลักฐานที่ปรากฏอยู่ในสื่อทั้งหมด เมื่อคดีขึ้นสู่ศาลคู่ความสามารถอ้างอิงเอาพยานหลักฐานต่างๆเหล่านี้ไปใช้ในศาลได้หรือไม่ ?
ผมขออธิบายว่าในคดีอาญานั้นคลิปเสียงหรือคลิปวิดีโอย่อมถือเป็นพยานหลักฐานชนิดหนึ่งซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ว่าจำเลยมีความผิดจริงหรือบริสุทธิ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 226 และสามารถใช้อ้างเป็นพยานหลักฐานได้ กฎหมายเรียกพยานหลักฐานเช่นนี้ว่าพยานตรงจากโทคโนโลยี่การบันทึกภาพบุคคล วัสดุ สิ่งของ รวมทั้งเสียงในที่เกิดเหตุ ซึ่งถือเป็นพยานหลักฐานที่สำคัญมากที่สุดในบรรดาพยานหลักฐานทั้งปวง มีความน่าเชื่อถือกว่าพยานบุคคล เพราะดิ้นไม่ได้ เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างไรก็บันทึกไปอย่างนั้น สอดคล้องกับในปัจจุบันการถ่ายคลิปวีดีโอหรือบันทึกเสียง สามารถจะทำได้โดยง่ายเป็นอย่างมากผ่านโทรศัพท์มือถือ
เราจึงมักนิยมอัดคลิปเสียงหรือคลิปวีดีโอกันไว้เมื่อเกิดมีปัญหาข้อพิพาท หรือมีการให้สัมภาษณ์ข่าวกับสื่อต่างๆ ด้วยความเต็มใจและยินยอมคลิปเสียงหรือคลิปวีดีโอดังกล่าว ย่อมสามารถใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีได้ทั้งชั้นสอบสวนและชั้นศาลแต่ในกรณีที่การอัดเสียงหรือแอบถ่ายโดยที่คู่กรณีไม่ได้รู้ตัว หรือเป็นการแอบลักลอบบันทึก จะสามารถใช้เป็นพยานหลักฐานในศาลได้หรือไม่ นั้น ต้องแยกเป็น 2 กรณีด้วยกันคือ หากคลิปเสียงหรือคลิปวีดีโอดังกล่าวถูกแอบลักลอบบันทึกโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย หรือได้ลักลอบบันทึกโดยคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งไม่รู้ตัว
ส่วนใหญ่ศาลฎีกาตีความว่า พยานหลักฐานดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานที่ได้มาจากการกระทำโดยมิชอบศาลจึงไม่อาจรับฟังเป็นพยานได้ แต่ข้อห้ามดังกล่าวไม่ใช่เป็นข้อห้ามอย่างเด็ดขาดแต่อย่างใด กฎหมายยังผ่อนปรนให้สามารถรับฟังพยานหลักฐานดังกล่าวได้หากการรับฟังพยานหลักฐานนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อการอำนวยความยุติธรรม มากกว่าผลเสียอันเกิดจากผลกระทบต่อมาตรฐานของระบบงานยุติธรรมทางอาญาหรือสิทธิ เสรีภาพพื้นฐานของประชาชน หากคุณค่าในเชิงพิสูจน์ ความสำคัญ และความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐานนั้นเป็นพยานหลักฐานศาลมีความสำคัญจริงๆ ที่จะเอาผิดจำเลยหรือจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของจำเลยได้ และมีความน่าเชื่อถือสูง
ตัวอย่างเช่นคลิปเสียงหรือคลิปวีดีโอดังกล่าว แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิด เพราะมีคนอื่นเป็นคนกระทำความผิดหรือคลิปเสียงหรือคลิปวีดีโอดังกล่าวแสดงได้อย่างชัดเจนว่าจำเลยกระทำความผิด เพราะมีคลิปเหตุการณ์ขณะจำเลยกระทำความผิดเห็นหน้าของจำเลยชัดเจน เช่นนี้ ย่อมถือว่าพยานหลักฐานดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานที่มีน้ำหนัก มีคุณค่าเชิงพิสูจน์ ศาลก็อาจจะรับฟังคลิปเสียงหรือคลิปวิดีโอดังกล่าวก็ได้
“จึงเห็นได้ว่า คลิปภาพคลิปเสียงคดี ภาพถ่าย พยานหลักฐาน วัสดุ สิ่งของ คดีที่ตำรวจไซเบอร์นำหมายศาลบุกค้นค้นบ้านพักพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาลหรือบิ๊กโจ๊ก และปฏิบัติการปูพรหมพร้อมกันอีก 30 จุดเพื่อจับผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องกับพนันออนไลน์และฟอกเงิน จนสามารถจับผู้ต้องหาตามหมายจับซึ่งเป็นนายตำรวจมือทำงานข้างกายพลเอกสุรเชษฐ์ได้ถึง 8 คน ที่มีเส็นเงินโยงถึงบิ๊กโจ๊กและคนในครอบครัว จนกระทั่งพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์กับทีมทนายและผู้ต้องหาออกมาตอบโต้การกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดนำค้นอย่างรุนแรง และให้สัมภาษณ์สื่อหลายครั้ง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ถูกบันทึกไว้โดยสื่อโซเชียล คู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด สามารถใช้อ้างอิงเป็นพยานหลักฐานในศาลได้ครับ
และผมยังมองว่าพยานหลักฐาน เหล่านั้น มัดตัวเองพอสมควรในเรื่องแนวทางการสืบพยานในชั้นศาล เพราะได้พูด ออกสื่อไปหมดแล้วดิ้นไม่ได้แล้ว แม้แต่ทนายอนันต์ชัยที่พลัังปากไปว่า“น้องพวกนี้เขาทำความดีมาทั้งชีวิต มาผิดครั้งเดียวจะเอากันให้ตายเชียวหรือ “ ยังอาจถูกมองว่าเป็นการรับสารภาพหรือไม่ นี่คือข้อเสียที่เมื่อเป็นคดีความ ถ้าข้อเท็จจริงยังไม่ตกผลึก อย่าริตั้งโต๊ะแถลงข่าวหาแสง มิเช่นนั้นท่านอาจจะไม่มีคำพูดอะไรไปแก้ตัวในศาลได้อีกเลยครับ “
#เพื่อไม่พลาดข่าวสารดีๆ อย่าลืมกดติดตามพวกเรา TOJO NEWS