ทนายเชาว์ ชี้ปมสวนชูวิทย์ ให้ดูที่เจตนาในคำแถลงประกอบคำรับสารภาพชั้นฎีกา เชื่อ ชูวิทย์ไม่โง่ นำทรัพย์สินหลายพันล้านแลกอิสรภาพ
ผู้สื่อข่าวโตโจ้นิวส์รายงานว่า นายเชาว์ มีขวด ทนายความอาสา โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุถึงประเด็นสวนชูวิทย์ ว่า
“สวนชูวิทย์”ตกเป็นของแผ่นดินแล้วหรือไม่ ให้ดูที่เจตนาในคำแถลงประกอบคำรับสารภาพชั้นฎีกา
ยังคงถกเถียง กันอย่างต่อเนื่องสำหรับประเด็น”สวนชูวิทย์”หลังจากที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ออกมาเปิดโปงขบวนการจีนเทา สื่อเทา และทนายเทา ก็มีการขุดคุยความเป็นสีเทาของนายชูวิทย์ออกมาแฉกลับ
มีประเด็นหนึ่งก็คือ คดีรื้อบาร์เบียร์ ซอยสุขุมวิท 10 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ และกลุ่มผู้ค้า รวม 44 ราย ร่วมกันเป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ กับพวกรวม 130 คน ต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ เป็นจำเลยที่ 1-130 ในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์, บุกรุกในเวลากลางคืน และกักขังหน่วงเหนี่ยวข่มขืนใจให้บุคคลปราศจากเสรีภาพ กรณีเมื่อวันที่ 26 ม.ค.46 กลุ่มชายฉกรรจ์หลายร้อยคน พร้อมรถแบกโฮบุกทำลายร้านบาร์เบียร์ บริเวณสุขุมวิทสแควร์ ซอยสุขุมวิท 10 แขวงและเขตคลองเตย กทม. คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งหมด
ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำคุกจำเลย 66 คนๆ ละ 5 ปี ขณะที่จำเลย 66 คนได้ฎีกาสู้ตดี แต่ระหว่างฎีกา นายชูวิทย์ ขอถอนคำให้การปฏิเสธเป็นรับสารภาพ ศาลฎีกา พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำคุกจำเลย 66 คนๆ ละ 2 ปี
ความตอนหนึ่งที่ศาลฎีกาได้หยิบยกเอามาเป็นเหตุบรรเทาโทษว่า “
ส่วนนายชูวิทย์นั้น ศาลเห็นว่า หลังเกิดเหตุได้ร่วมกับพวกจำเลยอื่นชดใช้ค่าเสียหายจนผู้เสียหายพอใจแล้ว และภายหลังได้นำที่ดินพิพาทไปทำประโยชน์เป็นสวนสาธารณะให้ประชาชนทั่วไปได้ใช้ โดยไม่ได้นำที่ดินไปทำธุรกิจแสวงหาผลกำไรอีก บ่งบอกว่าจำเลยที่ 129 และฝ่ายจำเลยรู้สำนึกผิด นับว่ามีเหตุให้ปรานี เห็นสมควรกำหนดโทษใหม่ให้เหมาะสม”
มีความพยายามนำถ้อยความศาลฎีกาส่วนนี้มาตีความว่าสวนดังกล่าวนายชูวิทย์ได้ยกให้เป็นสาธารณะประโยชน์จึงตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินแล้ว ไม่สามารถเอากลับคืนมาเป็นของตนเองได้อีก
ดังที่ปัจจุบันนายชูวิทย์ได้นำที่ดินดังกล่าวไปทำโครงการ The 10th Avenue มูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท โดยนำไปเทียบเคียงกับแนวคำพิพากษาฎีกาเรื่องการอุทิศหรือยกที่ดินให้เป็นสาธารณะประโยชน์ หลายฎีกาด้วยกัน แต่เท่าที่ดูข้อเท็จจริงตามฎีกาที่นำมาเทียบเคียงยังไม่ตรงกับกรณีของนายชูวิทย์ เพียงแต่เป็นฎีกาที่ได้วางหลักเรื่องการอุทิศหรือยกที่ดินให้สาธารณะประโยชน์แล้วแม้จะด้วยวาจา ก็จะตกเป็นของแผ่นดินทันที จะเอาคืนไม่ได้อีก
“ผมจึงเห็นว่ากรณีสวนชูวิทย์ต้องดูที่เจตนาเป็นหลักว่านายชูวิทย์ได้แสดงเจตนาโดยแจ้งชัดที่จะยกที่ดินให้เป็นสาธารณะประโยชน์โดยเสร็จเด็ดขาดหรือไม่หรือเจตนาให้ใช้ชั่วคราว ซึ่งไม่ต้องถกเถียงกันให้เสียเวลา ให้ไปดูในคำแถลงประกอบคำรับสารภาพในชั้นฎีกาคดีรื้อบาร์เบียร์ก็จะทราบอย่างแจ้งชัดและตัดสินได้ทีนทีว่าสวนชูวิทย์เป็นตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินแล้วหรือไม่
แต่ผมเชื่อว่าระดับเซียนอย่างนายชูวิทย์คงไม่เขียนอะไรลงไปโดยไม่ไตร่ตรองให้รอบคอบเสียก่อน เพราะสวนชูวิทย์เป็นที่ดินผืนใหญ่ตั้งอยู่ย่านทำเลทองใจกลางเมือง ราคาซื้อขายนับหลายพันล้านบาท เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับโทษที่นายชูวิทย์จะได้รับเพียงเล็กน้อยศาลอุทธรณ์ลงโทษจำคุกเพียง 5 ปี นายชูวิทย์หรือใครก็ตามคงไม่โง่ที่จะยอมเสียทรัพย์สินนับหลายพันล้านบาทเพื่อแลกกับอิสรภาพเพียงน้อยนิด
ที่สำคัญยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าที่ดินแปลงนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของนายชูวิทย์แต่เพียงผู้เดียวหรือเป็นกรรมสิทธิ์ของ บริษัท สุขุมวิท ซิลเวอร์สตาร์ ที่มีนายชูวิทย์เป็นกรรมการ ถ้าเป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัท สุขุมวิท ซิลเวอร์สตาร์ การอุทิศให้หรือยกให้เป็นสาธารณะประโยชน์ก็จะต้องให้กรรมการผู้มีอำนาจยินยอมด้วยจึงจะมีผลผูกพัน ผมว่าเรื่องนี้นายชูวิทย์รู้ดีแต่อุบไว้ให้พวกวิจารณ์เข้าทางตีน”
#เพื่อไม่พลาดข่าวสารดีๆ อย่าลืมกดติดตามพวกเรา TOJO NEWS