หลักสูตร “ผู้นำยุคใหม่ พลิกโฉมธุรกิจด้วย Big Data และ AI” พาล้วงลึกความรู้จากสุดยอดผู้เชี่ยวชาญในประเทศ

สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) จัดหลักสูตร “ผู้นำยุคใหม่ พลิกโฉมธุรกิจด้วย Big Data และ AI” (LEAD : Transformational Leadership with Big Data and AI) เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2567 ซึ่งเป็นสัปดาห์ที่ 5 ณ โรงแรมแลงคาสเตอร์ กรุงเทพฯ เพื่อปลดล็อกศักยภาพผู้นำยุคใหม่ สู่การเป็นผู้เชี่ยวชาญ เจาะลึกทุกมิติทาง Big Data และ AI สู่การประยุกต์ใช้จริง พร้อมถอดบทเรียนจากตัวอย่างการใช้งานจริงของบริษัทชั้นนำระดับโลก ทั้งภายในประเทศ และต่างประเทศ ตลอดจนเรียนรู้เทคนิคการสร้างความเชื่อมั่น และการนำ Big Data และ AI ไปปรับใช้ในองค์กร เพื่อสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจ

ช่วงแรกของงานได้รับเกียรติจากคุณวโรดม คำแผ่นชัย CEO บริษัท อัลโต้เทค โกลบอล จำกัด มาบรรยายในหัวข้อ “Sustainable Technologies” ซึ่งทางบริษัท อัลโต้เทค เป็นบริษัทสตาร์ทอัพ ผู้พัฒนาแพลตฟอร์ม IoT สำหรับจัดการระบบการใช้พลังงานในอาคาร โรงแรม และโรงงาน ต่อยอดโซลูชันเทคโนโลยีพลังงานสะอาด โดยคุณวโรดม ชี้ให้เห็นว่าเราสามารถใช้ AI วิเคราะห์เพื่อให้ช่วยสามารถช่วยลดโลกร้อนได้  และเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย Net Zero ในปี 2050 สำหรับ 3.5 พันล้านตันของคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีอยู่ และ 7% นั้นคือการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

สำหรับวิวัฒนาการของระบบอัตโนมัติและระบบควบคุมอาคารคุณวโรดม กล่าวว่าสำหรับ Building 3.0 จะมีการนำซอฟต์แวร์เข้ามาช่วย Building 5.0 ได้มีการนำ AI มาช่วย และ Building 6.0 จะเป็นการนำเทคโนโลยี AR หรือ VR มาช่วย นอกจากนี้คุณวโรดมกล่าวว่าการที่เรามีข้อมูลเยอะ ๆ ก็สามารถนำข้อมูลเหล่านั้นมาสอน AI เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ตึกได้ โดยการที่เราป้อนข้อมูลจากวิศวะและช่างผนวกกัน เพื่อให้ AI วิเคราะห์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็เป็นส่วนสำคัญในการช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ นอกจากนี้ทางบริษัทฯ ได้มีการทำ MOU กับทางกฟผ. เพื่อพัฒนาระบบโครงข่ายไฟฟ้าด้วยดิจิทัลชั้นนำ ลดต้นทุนค่าไฟฟ้าให้กับประชาชนภายในปี 2580

ช่วงถัดมา ผศ.ดร.ประพัฒน์ สุริยผล รองคณบดีฝ่ายสารสนเทศ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลถ่ายทอดความรู้ในเรื่อง “Digital Health and Travel Innovations” ทางผศ.ดร.ประพัฒน์ เผยว่าทางศิริราชมีบุคคลากรมากกว่า 18,000 คน ด้านผู้ป่วยในแต่ละวันนั้นมีจำนวน 8,000 – 10,000 ครั้ง/วัน หรือประมาณมากกว่า 3,000,000 ครั้ง/ปี และมีผู้ป่วยในจำนวน 300-400 ครั้ง/ปี ซึ่งการนำข้อมูลมาใช้ได้แบ่งออกเป็น ข้อมูลของคนไข้ที่ส่วนมากเป็นกระดาษ, Medical/Maging Data} Genomic Data, ฐานข้อมูลเรื่องยา, การรักษาทางไกล, การเคลมในการรักษา และการสั่งจ่ายยา

นอกจากนี้ผศ.ดร.ประพัฒน์ ได้เผยถึงการนำข้อมูลมาใช้ใน SiData+ (Siriraj Informatics and Data Innovation Center) ซึ่งสามารถรู้ได้ว่าผู้ป่วยแต่ละคนนั้นมาจากไหน และสิทธิ์ในการรักษาของผู้ป่วยคืออะไร รวมถึงผู้ป่วยในเช่นกัน นอกจากนี้ยังสามารถดูได้ว่าแพทย์แต่ละคนรักษาผู้ป่วยจำนวนเท่าไหร่และเป็นผู้ป่วยโรคอะไรบ้าง รวมถึงสามารถดูได้ว่าการผ่าตัดในแต่ละครั้งใช้ห้องผ่าตัดไหนใช้อุปกรณ์อะไรบ้าง ซึ่งทุก ๆ ฝ่ายในโรงพยาบาลจะมีแดชบอร์ดตรงนี้ โดยผศ.ดร.ประพัฒน์ ได้ยกตัวอย่างการนำข้อมูลตรงนี้มาวิเคราะห์ว่าแต่ละคนสามารถเจาะเลือดคนไข้ได้เท่าไหร่ และมีการจัดลำดับโต๊ะการเจาะเลือดโดยการนำพยาบาลที่สามารถเจาะเลือดได้เร็วมารับหน้าที่ตอนช่วงเวลาที่คนไข่เยอะ ทำให้ลดเวลาการรอเจาะเลือดทั้งหมดชั่วโมงกว่าเหลือเพียงครึ่งชั่วโมง และยังมีการนำ AI มาช่วยวิเคราะห์ผู้ป่วยว่าจากสไลด์ที่สแกนมาตรงส่วนไหนมีแนวโน้มที่จะเป็นเซลล์มะเร็ง

และช่วงสุดท้ายของสัปดาห์พาล้วงลึกจากผู้เชี่ยวชาญตัวจริงในหัวข้อ “Digital Health and Travel Innovations” โดยคุณภูมิกิตติ์ รักแต่งาม ประธานมูลนิธิพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยคุณภูมิกิตติ์ ได้การที่เรียกประชุมกับผู้ประกอบการในภูเก็ตว่าให้พนักงานในโรงงานและที่ทำงานต้องฉีดวัคซีน 70% เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ และสามารถเปิดให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้ามาได้โดยไม่ต้องกักตัว โดยการสร้างเว็บไซต์ ภูเก็ตต้องชนะ และให้ประชาชนในภูเก็ตมาลงทะเบียนฉีดวัคซีน ซึ่งเว็บไซต์นี้เป็นต้นแบบของหมอชนะนั่นเอง เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้ามาท่องเที่ยวภูเก็ตได้ภายใน 1 ตุลาคม 2654

โดยคุณภูมิกิตติ์ ได้พูดถึงการใช้ Data ในการขับเคลื่อนภูเก็ตโดยได้เล่าถึงประสบการณ์ Phuket Sandbox ที่เป็นโครงการทดลองให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้าเมืองไทยโดยไม่ต้องกักตัว แต่ต้องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ตเท่านั้น หากอยู่ครบ 14 วันแล้วมีผลตรวจว่าไม่ติดโควิด-19 จึงเดินทางไปพื้นที่อื่น ๆ ในไทยต่อได้ ซึ่งการแก้ปัญหานี้จะเป็นการนำข้อมูลที่ได้รับมาโยงกันไปมาเพื่อได้ข้อสรุปทั้งการพักของนักท่องเที่ยว การสวอปตรวจโควิด รวมถึงการเดินทาง เมื่อได้ตัวเลขเหล่านี้มาก็เป็นสิ่งที่ทางเรานำไปคุยกับทาง BDI เพื่อให้สามารถจินตนาการต่อไปได้ และทำให้เรารู้ว่าเวลาคุยกับทาง BDI เราอยากได้อะไร “คนทำ Data ไม่รู้โจทย์หรอก แต่ประสบการณ์ของ Phuket ทำให้เรารู้โจทย์ว่าเราอยากได้อะไร” คุณภูมิกิตติ์ กล่าวต่อว่า พอเราได้เจอ BDI เราตื่นเต้นมากว่ามีองค์กรนี้ในประเทศด้วยหรอ เพราะเขาสามารถเสกให้เราได้หลายเรื่อง

ซึ่งทางคุณภูมิกิตติ์กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่าต่อจากนี้มีแพลนที่จะทำ Phuket Sustainable Strategies 2030 โดยแบ่งออกเป็น 10 ประเด็นคือ Education Hub of Asia , Maritime Industry Center, Mice & Mega Event City, Smart City Initiative Sandbox, Sport Tourism & Training Camp, Medical & Wellness Tourism Hub, Value-Based Agriculture, SME-Focused Ecosystem, Sustainable Tourism Destination และ Creative Gastronomy City

ต้องการข้อมูลเกี่ยวกับหลักสูตรเพิ่มเติมสามารถติดตามได้ที่

Website : BDI , DurianCorp
Facebook : BDI , DurianCorp

อย่าลืมกดติดตาม Tojo News เพื่อพบกับข่าวสาร และบทความใหม่ ๆ จากเรา

Line Today TOJO NEWS , ToJoNews

เกี่ยวกับ บริษัท ดูเรียน คอร์ปปอเรชัน จำกัด ที่ปรึกษาและบริการจัดการหลักสูตร LEAD by BDI

บริษัท ดูเรียน คอร์ปปอเรชัน จำกัด (DURIAN) คือผู้นำในการสร้างระบบนิเวศน์นวัตกรรมในประเทศไทย เป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของธุรกิจนวัตกรรมในหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้ง Fintech, HealthTech, GreenTech, AgTech และ Smart City, etc. มีผลงานร่วมกับทั้งภาครัฐ เอกชน องค์กรนานาชาติ เป็นที่ประจักษ์ทั้งในไทยและต่างประเทศ บจ.ดูเรียน คอร์ปปอเรชัน ทำธุรกิจหลัก 3 ด้าน คือ

1. การให้บริการด้าน Knowledge Service การจัดหลักสูตรผู้บริหารในทุกระดับ โดยทีมที่มีประสบการณ์บริหารหลักสูตร และการดูแลผู้บริหารชั้นนำทั้งประเทศไทยและนานาชาติมานานกว่า 10 ปี มากกว่า 30 โปรแกรมชั้นนำ

2. ธุรกิจร่วมลงทุนในรูปแบบ Venture Builder กับธุรกิจที่มีศักยภาพการเติบโตทั้งในไทย และนานาชาติ หลากหลายอุตสาหกรรม

3. ธุรกิจด้านเทคโนโลยี AI LAB and Software House ครบวงจร โดยมีกลุ่มลูกค้าทั้งในระดับโลก และประเทศ เช่น UN, NATO, มิตรแท้ประกันภัย ฯลฯ