พระถังซัมจั๋ง หรือพระถังเสวียนจั้ง (玄奘) มีชื่อเดิมว่า เฉินอี้ (陳褘) เกิดเมื่อปี พ.ศ. 1143 ในเมืองลั่วโจว (洛州) ปัจจุบันคือเมืองลั่วหยาง (洛阳) มณฑลเหอหนาน (河南) ของจีน ท่านเป็นบุตรของครอบครัวที่มีการศึกษา และได้รับการเลี้ยงดูในบรรยากาศที่เคร่งครัดด้านศาสนา ตั้งแต่อายุยังน้อย พระถังซัมจั๋งได้เรียนรู้เกี่ยวกับพุทธศาสนาผ่านทางพี่ชายของท่าน ซึ่งเป็นพระภิกษุ ทำให้ท่านเกิดความสนใจในพระธรรมและมีความมุ่งมั่นที่จะศึกษาอย่างลึกซึ้ง
หลังจากที่ท่านเข้าพิธีบวชเมื่ออายุ 13 ปี พระถังซัมจั๋งได้เดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ ในจีนเพื่อศึกษาและถกเถียงเกี่ยวกับหลักธรรมของพระพุทธศาสนากับพระภิกษุและนักปราชญ์ท้องถิ่น แต่ท่านพบว่าความรู้และการตีความของพระธรรมที่มีอยู่ในจีนยังมีข้อจำกัด ท่านจึงตัดสินใจที่จะเดินทางไปยังอินเดีย ซึ่งเป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนาในเวลานั้น เพื่อแสวงหาความรู้เพิ่มเติมและนำพระธรรมที่แท้จริงกลับมาถ่ายทอดในจีน
การเดินทางที่ท้าทายและอุปสรรคระหว่างทาง
พระถังซัมจั๋งออกเดินทางในปี พ.ศ. 1172 โดยเส้นทางที่ท่านเลือกเดินทางนั้นเป็นเส้นทางสายไหม ซึ่งเป็นเส้นทางการค้าที่เชื่อมต่อจีนกับดินแดนตะวันตก เส้นทางนี้เต็มไปด้วยความอันตราย ไม่ว่าจะเป็นทะเลทรายที่แห้งแล้ง ภูเขาที่สูงชัน และภูมิประเทศที่ไม่เอื้ออำนวย นอกจากนี้ยังมีภัยจากโจรและความขัดแย้งทางการเมืองในพื้นที่ต่าง ๆ ที่ท่านต้องเผชิญ
หนึ่งในเหตุการณ์ที่ท้าทายมากที่สุดคือการข้ามทะเลทรายโกบี (Gobi Desert) ซึ่งเป็นทะเลทรายที่กว้างใหญ่และโหดร้าย พระถังซัมจั๋งต้องเดินทางผ่านทะเลทรายนี้โดยไม่มีน้ำหรืออาหารเพียงพอ แต่ด้วยความมุ่งมั่นและการสวดมนต์อธิษฐาน ท่านสามารถรอดพ้นและเดินทางต่อไปจนถึงแคว้นอินเดียในที่สุด
การศึกษาและผลงานในอินเดีย
เมื่อมาถึงอินเดีย พระถังซัมจั๋งได้ศึกษาในมหาวิทยาลัยนาลันทา (Nalanda University) ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาทางพุทธศาสนาที่สำคัญที่สุดในสมัยนั้น ท่านใช้เวลาอยู่ที่นาลันทาประมาณ 5 ปี ศึกษาและแลกเปลี่ยนความรู้กับนักปราชญ์และพระภิกษุจากทั่วทั้งชมพูทวีป
ในช่วงเวลานี้ พระถังซัมจั๋งได้เรียนรู้เกี่ยวกับหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาในเชิงลึก โดยเฉพาะในเรื่องของปรัชญามาธยมิกะ (Madhyamaka) และโยคาจาระ (Yogācāra) ซึ่งเป็นสองสายปรัชญาหลักในพุทธศาสนาแบบมหายาน ท่านยังได้รวบรวมพระคัมภีร์สำคัญ ๆ และนำกลับมาจีนเพื่อแปลเป็นภาษาจีน ซึ่งเป็นงานที่ท้าทายและต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างมาก
การกลับมาสู่จีนและการแปลพระไตรปิฎก
หลังจากที่ท่านได้ศึกษาและรวบรวมพระคัมภีร์จากอินเดียเสร็จสิ้น พระถังซัมจั๋งก็เดินทางกลับจีนในปี พ.ศ. 1189 โดยได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากราชสำนักจีนและชาวพุทธในจีน ท่านได้นำพระคัมภีร์ที่สำคัญกว่า 600 ชิ้นกลับมาด้วย ซึ่งเป็นสมบัติล้ำค่าที่จะช่วยเสริมสร้างความรู้ในพระพุทธศาสนาในจีน
เมื่อกลับมาถึงจีน พระถังซัมจั๋งได้ทำงานแปลพระคัมภีร์จากภาษาสันสกฤตเป็นภาษาจีน ท่านใช้เวลาตลอดชีวิตที่เหลือในการแปลคัมภีร์เหล่านี้ ผลงานแปลที่สำคัญของท่านได้แก่ “มหาปรัชญาปารมิตาสูตร” (Mahāprajñāpāramitā Sūtra) และ “โยคาจารภูมิศาสตร์” (Yogācārabhūmi-śāstra) ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่มีอิทธิพลอย่างมากในพุทธศาสนาแบบมหายานในจีน
มรดกและอิทธิพลของพระถังซัมจั๋ง
พระถังซัมจั๋งไม่ได้เป็นเพียงนักแปลที่สำคัญเท่านั้น แต่ยังเป็นนักเดินทางที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นหลัง ท่านได้รับการยกย่องว่าเป็น “พระเถระแห่งการแปล” (翻譯三藏法師) และได้รับการบันทึกเรื่องราวในวรรณกรรม “ไซอิ๋ว” ซึ่งทำให้เรื่องราวของท่านเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง
ในทางพุทธศาสนา งานแปลของพระถังซัมจั๋งช่วยเสริมสร้างความเข้าใจในพระธรรมคำสอน และทำให้พุทธศาสนามีความเจริญรุ่งเรืองในจีน ท่านยังได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้นำทางศาสนาที่สำคัญ และเป็นตัวอย่างของความมุ่งมั่นในการแสวงหาความรู้และความจริง
สรุป
พระถังซัมจั๋ง หรือพระถังเสวียนจั้ง เป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญทั้งในประวัติศาสตร์และในวรรณกรรมจีน ท่านเป็นตัวอย่างของความศรัทธาและความมุ่งมั่นที่ไม่ย่อท้อ การเดินทางของท่านสู่ชมพูทวีปเป็นการผจญภัยที่ยิ่งใหญ่ และการแปลพระไตรปิฎกของท่านเป็นการงานที่ส่งผลต่อพุทธศาสนาในจีนอย่างลึกซึ้ง พระถังซัมจั๋งจึงเป็นบุคคลที่สมควรได้รับการยกย่องและจดจำในฐานะผู้ที่ได้ทำให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองและเป็นที่รู้จักทั่วโลก
อย่าลืมกดติดตาม Tojo News เพื่อพบกับข่าวสาร และบทความใหม่ ๆ จากเรา
Line Today TOJO NEWS , ToJoNews
#โตโจนิวส์ #TOJONEWS #สำนักข่าวโตโจนิวส์ #วรรณกรรม #พระถังซัมจั๋ง #ไซอิ๋ว