ผู้สื่อข่าวโตโจ้นิวส์ได้รับรายงานว่า ดร. สุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้โพสต์บทความลงที่หน้าเฟซบุ๊คส่วนตัว มีประเด็นน่าสนใจหลายเรื่อง ในฐานะที่ดำรงตำแหน่งสำคัญมามากมาย มีส่วนเกี่ยวข้องกับนโยบายสำคัญในการพัฒนาประเทศ ถือได้ว่าเป็นความเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่ควรรับฟัง จึงขอนำบทความของท่านมาเผยแพร่ มีรายละเอียดดังนี้
“สร้างรัฐที่น่าเชื่อถือ : กลไกขับเคลื่อนประเทศไทยในโลกหลังโควิด ปัจจัยแห่งความสำเร็จในการทะยานสู่โลกที่หนึ่งของหลายประเทศในเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ ไต้หวัน หรือสิงคโปร์นั้น มาจากเงื่อนไขสำคัญ 4 ประการ
1. นักการเมืองมีคุณภาพ ภายใต้ระบบการเมืองที่มีประสิทธิภาพและเสถียรภาพ
2. มีผู้นำการเมืองที่ซื่อสัตย์ สุจริต มีความรู้ความสามารถมีวิสัยทัศน์กว้างไกล และมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าเพื่อขับเคลื่อนประเทศไปสู่โลกที่หนึ่ง
3. มียุทธศาสตร์ที่ชัดเจน สอดรับกับพลวัตที่เกิดขึ้นทั้งจากภายในและภายนอกอย่างเป็นรูปธรรม
4. มีระบบราชการ สถาบัน และกลไกขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์ให้เกิดผลสัมฤทธิ์
“ระบบการเมือง” และ “ระบบราชการ” จึงเป็น 2 กลไกสำคัญที่จะขับเคลื่อนประเทศไปในทิศทางที่จะสร้างความมั่งคั่งและความมั่นคง ในทางกลับกัน ถ้าระบบการเมืองและระบบราชการไม่ได้วางอยู่บนฐานรากที่ถูกต้อง ก็จะนำพาไปสู่การจมปลักอยู่กับประเด็นปัญหาเชิงโครงสร้าง คอรัปชั่นที่เกิดขึ้นอย่างดาษดื่น ควบคู่ไปกับการไร้ซึ่งคุณธรรมจริยธรรมของผู้บริหารบ้านเมือง และนำพาไปสู่ “รัฐที่ล้มเหลว”ในที่สุด
*เราจะคาดหวังผลไม้ที่อุดมสมบูรณ์จากดินที่แสนเลวได้อย่างไร*
อดีตประธานาธิบดีปักจุงฮีแห่งเกาหลีใต้ เคยกล่าวไว้ว่า “เราจะคาดหวังผลไม้ที่อุดมสมบูรณ์จากดินที่แสนเลวได้อย่างไร ดังนั้น การสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองใหม่จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น เพื่อการปรับเปลี่ยนรากฐานที่แท้จริงของรัฐเองเสียใหม่”
“คุณธรรมจริยธรรม” จึงเป็นคุณลักษณ์ที่สำคัญ ยิ่งเป็นบุคคลสาธารณะอย่าง “นักการเมือง” หรือ “ข้าราชการ” ด้วยแล้ว ก็ยิ่งต้องมีจิตสำนึกสาธารณะสูง และเป็นที่เคารพเชื่อถือไว้วางใจสูงกว่าคนธรรมดาทั่วไป ความมั่นใจในระบอบประชาธิปไตยและความมั่นคงในระบบเศรษฐกิจจึงต้องสร้างจากความน่าเชื่อถือของผู้นำเหล่านี้
หากถามว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เหตุผลก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่าง “ผู้นำ” กับ “ผู้ตาม” ถึงที่สุดแล้ว นับเป็นสัมพันธภาพทางอำนาจที่แนบแน่น อำนาจของผู้นำเป็นอำนาจที่มี “พลังศรัทธาของประชาชน” รองรับมากที่สุด ซึ่งถ้าหากขาดซึ่งหลักธรรมกำกับ ก็อาจเบี่ยงเบนไปในทางเสื่อมโดยง่าย สังคมที่ต้องการหลีกเลี่ยงความหายนะ ไม่อาจเอาตัวเองไปเสี่ยงด้วยการเพิกเฉยหรือปฏิเสธประเด็นนี้ได้เป็นอันขาด (ประสิทธิ์ โฆวิไลกูล)
ผู้นำอย่าง สี จิ้นผิง ของจีน หรือ ลีกวนยู ของสิงคโปร์ ได้ถูกยกย่องให้เป็นผู้นำที่สามารถใช้อำนาจทางการเมือง ผสมผสานกับความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าในการ “เปลี่ยนผ่านประเทศ” ไปสู่โลกที่หนึ่ง ได้อย่างลงตัว
ในประเทศที่โชคร้าย ที่ผู้นำทางการเมืองไม่สามารถก้าวข้ามผลประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้อง ด้วยการผนวกอำนาจทางการเมืองเข้ากับวาระซ่อนเร้น ภายใต้แนวคิด “ธุรกิจการเมือง” ความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายในประเทศนั้น จะบังเกิดขึ้นได้อย่างไร จะนำพาประเทศไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนในโลกหลังโควิดได้อย่างไร
*คุณภาพนักการเมืองและข้าราชการ*
ประเด็นท้าทายคือ จะทำอย่างไรให้ประชาธิปไตยไทยหลุดพ้นจากภาวะที่มีนักการเมืองและข้าราชการ “คุณภาพต่ำ” ไปสู่ภาวะที่มีนักการเมืองและข้าราชการ “คุณภาพสูง” ทั้ง 2 ปัจจัยจะต้องพิจารณาประกอบกัน จึงจะสามารถตอบโจทย์การสร้าง “รัฐที่น่าเชื่อถือ” ได้
“รัฐที่น่าเชื่อถือ” จะเป็นรัฐที่มาด้วย “ความชอบธรรม” (Legitimacy) ใช้ “คุณธรรมจริยธรรม” (Integrity) เป็นเครื่องชี้นำ และมี “ความรู้ความสามารถ” (Capability) ที่เพียงพอในการบริหารประเทศ ภายใต้พลวัตโลกหลังโควิด ที่เต็มไปด้วยความย้อนแย้ง ความสุดโต่ง ความซับซ้อน และความไม่แน่นอน
อาจเป็นโชคร้ายของประเทศไทย ที่ตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เป็นต้นมา เรายังไม่เคยมีรัฐบาลชุดใดที่มีคุณสมบัติครบถ้วนทั้ง 3 องค์ประกอบข้างต้นอย่างสมบูรณ์ ในการบริหารราชการแผ่นดิน การมี “รัฐที่น่าเชื่อถือ” จะส่งผลให้
1) ทำลาย “วงจรอุบาทว์ 3 ป.” ทางการเมืองของการ “ประท้วงต่อต้าน” การ “ปฎิวัติรัฐประหาร” และการได้มาซึ่ง “ประชาธิปไตยเทียม” ดังที่พวกเราเผชิญอยู่ในหลายทศวรรษที่ผ่านมาจวบจนปัจจุบัน
2)เกิดความต่อเนื่องในการขับเคลื่อนนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศในระยะยาว
3)โอกาสผลักดันการปรับเปลี่ยนเชิงโครงสร้างอย่างเป็นระบบเกิดขึ้นได้ไม่ยาก
4)เสริมสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกัน ระหว่างภาครัฐ ประชาสังคมและภาคเอกชน ความมุ่งมั่นร่วมกันในการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ “โลกที่หนึ่ง” จะมีความเป็นไปได้สูง
*ถึงเวลา “ยกเครื่อง” ภาครัฐทั้งระบบ
ในสภาพความเป็นจริง โครงสร้างรัฐไทยเป็นการ “ต่อสู้” ควบคู่กับการ “เอื้อประโยชน์” ซึ่งกันและกัน ระหว่าง “นักการเมือง” กับ“ข้าราชการ” ในระบบการทำงานของภาครัฐ จึงเต็มไปด้วยการแทรกแซงและล้วงลูกจากฝ่ายการเมือง การสร้างอาณาจักรขึ้นของหน่วยงานรัฐผ่านความเป็นนิติบุคคลของแต่ละส่วนราชการ การสร้างกลไกให้เกิดการพึ่งพิงทรัพยากรจากส่วนกลางในรูปแบบของงบประมาณ การสร้างกฎระเบียบต่างๆเพื่อเป็นข้อจำกัด และเป็นแหล่งทำมาหากิน มากกว่าที่จะเป็นปัจจัยเอื้อให้กับภาคเอกชนและภาคประชาชน
ผลพวงที่เกิดขึ้น ทำให้ภาครัฐมี “ความบกพร่องเชิงบริหาร” (Administrative Deficiency) อย่างน้อย 3 ประการด้วยกัน คือ
1. เน้น “รูปแบบ” มากกว่า “เนื้อหาสาระ” (Form without Substance)
2. เน้น “เชิงปริมาณ” มากกว่า “เชิงคุณภาพ” (Quantity without Quality)
3.ทำงานโดยขาดยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน (Execution without Strategy) (สมพล เกียรติไพบูลย์)
ถึงเวลา “ยกเครื่อง” ภาครัฐ ทั้งฝ่ายการเมืองและราชการให้มีระบบที่มีการ Check & Balance ระหว่างกัน ออกแบบความสัมพันธ์ใหม่ระหว่าง Policy, Politics กับ People ตลอดจนการพลิกโฉมระบบราชการ จากระบบราชการที่มี “นักการเมือง และข้าราชการ “ เป็นศูนย์กลาง ไปสู่ระบบราชการที่ยึด “ประชาชน” เป็นศูนย์กลาง ด้วยการปรับเปลี่ยนใน 7 มิติสำคัญ
1. ปรับภารกิจภาครัฐ จากเดิมที่เน้นหนักในบทบาทการเป็นผู้กำหนดกฏเกณฑ์ และการใช้อำนาจหน้าที่ มาเน้นหนักบทบาทการเป็นผู้ให้การสนับสนุนส่งเสริม และการสร้างความเข้มแข็งของภาคเอกชนและภาคประชาชนมากขึ้น
2. ปรับโครงสร้างตามลำดับขั้นแบบรวมศูนย์ (Centralized Hierarchical Structure) ที่เป็นอยู่ในระบบราชการปัจจุบัน เป็นโครงสร้างการทำงานที่เปิดกว้าง กระจายศูนย์อำนาจ และเชื่อมโยงประสานกันเป็นเครือข่าย (Multilayer Polycentric Network) มากขึ้น
3. เปลี่ยนจากการทำงานที่ยึดภาระหน้าที่ (Functional-based) มาเป็นการทำงานที่เน้นโจทย์หรือวาระสำคัญ (Agenda-based) กับ การปฏิบัติการเชิงพื้นที่ (Area-based) มากขี้น
4. เปลี่ยนจากระบบราชการแบบ “เช้าชามเย็นชาม” เป็นระบบราชการที่มี “สมรรถนะสูง” เน้นผลสัมฤทธิ์เป็นสำคัญ เป็นหน่วยงานที่ “ตั้งง่าย ยุบง่าย” ตามภารกิจที่จำเป็นในแต่ละช่วงเวลา เปิดโอกาสให้มีการลองผิดลองถูก (Regulatory & Administrative Sanbox) เพื่อพัฒนานวัตกรรมเชิงนโยบายและการบริหารจัดการรองรับพลวัตในโลกหลังโควิด
5. ปรับเปลี่ยนจาก Analog Government เป็น Digital Government เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ประเด็นความโปร่งใส ประสิทธิภาพ คุณภาพ และความรวดเร็วในการให้บริการกับประชาชน ในเวลาเดียวกัน
6. ปรับกำลังคนในภาครัฐให้เหมาะสม สอดรับกับการทำงานในดิจิตอลแพลตฟอร์ม ควบคู่ไปกับการดึงดูดและรักษา “คนเก่ง” “คนดี” และ “คนทำงานเป็น” เข้ามาในระบบเพื่อขับเคลื่อนประเทศสู่อนาคต
7. พลิกโฉมระบบราชการสู่ “การบริหารจัดการเชิงรุก” เพื่อให้สามารถรับมือกับพลวัตในโลกหลังโควิด ด้วยการยกระดับขีดความสามารถใน 3 ด้านสำคัญ คือ ขีดความสามารถในการรับมือกับสภาวะวิกฤตอย่างทันท่วงที (Crisis Responding Capabilities) ขีดความสามารถในการปรับเปลี่ยนเชิงโครงสร้างอย่างเป็นระบบ (Transformative Change Capabilities) และขีดความสามารถในการผนึกกำลังร่วมกับประชาคมโลก (Global Collaborative Capabilities)
โมเดลระบบราชการที่ยึด “ประชาชน” เป็นศูนย์กลางจะสอดรับกับ “โมเดลการเมืองที่ประชาชนมีส่วนร่วม” -ที่เน้นการให้น้ำหนักของประชาธิปไตยทางตรง (Direct Democracy) ประชาธิปไตยปรึกษาหารือ (Deliberative Democracy)และประชาธิปไตยตรวจสอบรอบด้าน (Counter-Democracy) จากเดิมที่นำ้หนักส่วนใหญ่อยู่ที่ประชาธิปไตยแบบตัวแทน (Representative Democracy) เพียงอย่างเดียว ที่สำคัญ ระบบราชการที่ยึด “ประชาชน” เป็นศูนย์กลาง จะเกิดขึ้นจริง ก็ต่อเมื่อมี “รัฐบาลที่น่าเชื่อถือ” เท่านั้น
…ประเทศไทยสูญเสียโอกาส เสียเวลาและทรัพยากรมามากพอแล้ว ถึงเวลาแล้วที่พวกเราต้องลุกขึ้นมาต่อสู้ ไม่ยอมให้ “นักการเมือง”และ “ข้าราชการ” คุณภาพต่ำ มีที่ยืนในการบริหารราชการแผ่นดินอีกต่อไป
ดร. สุวิทย์ เมษินทรีย์ Dr. Suvit Maesincee
https://www.facebook.com/1385294465110613/posts/2087745648198821/
#สำนักข่าวโตโจ้นิวส์ #TOJONEWS #โตโจ้นิวส์ #ข่าวโตโจ้นิวส์
You must be logged in to post a comment Login