แย่งผลประโยชน์ ในเวลาที่ประเทศกำลังเสียผลประโยชน์
ในขณะที่ประเทศกำลังเดินหน้าเผชิญกับปัญหารอบด้าน นักการเมืองซึ่งเป็นผู้ที่ถูกประชาชนเลือกให้เข้าไปเป็นผู้นำประเทศ หวังพัฒนาชาติให้เดินหน้าแก้ไขปัญหาปากท้องประชาชน กลับกำลังแย่งชิงอำนาจ หวังผลประโยชน์ในเวลาที่ชาติกำลังเสียผลประโยชน์โดยไม่สนเสียงของประชาชน ทำให้ความไว้เนื้อเชื่อใจของรัฐบาลลดลง ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ในช่วงของการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ความนิยมของรัฐบาลเพิ่มสูงมากขึ้น
เกิดอะไรขึ้นทุกคนคงทราบดี ยิ่งกว่าละครหลังข่าว การแย่งชิงอำนาจครั้งนี้ฉาวไม่สนประชาชนตาดำๆ ที่อาศัยอยู่ในประเทศที่กำลังเผชิญวิกฤตรอบด้าน อำนาจในครั้งนี้เป้าที่กำลังจะถูกแย่งชิงจาก นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ที่มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และอีกตำแหน่งที่สำคัญจาก นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
คำถามต่อมาว่าทำไมต้องเป็นสองตำแหน่งนี้ ทำงานไม่ดีหรือบริหารงานไม่ได้?
สำนักวิจัยซุปเปอร์โพลร่วมกับสถาบันวิจัยความสุขชุมชนและความเป็นผู้นำ ได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนในการเปิดเผยผลสำรวจภาคสนาม เรื่องเหลียวหลังแลหน้าขจัดโควิด-19 กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 25 เมษายน -1 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 ได้ระบุอีกว่ารัฐมนตรีมีผลงานลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชนช่วงโควิด-19 (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ) พบว่า
อันดับหนึ่ง นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ลดค่าไฟฟ้า ลดราคาน้ำมัน แจกแอลกอฮอล์ และอื่นๆ ได้ 53.8 %,
อันดับที่สองคือ นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แจกเงิน ลดภาษี และอื่นๆ ได้ 51.2 %,
อันดับที่สาม พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ลดค่าไฟฟ้า ช่วยค่าน้ำประปา และอื่นๆ ได้ 43.3%,
จากสำนักวิจัยซุปเปอร์โพลทำให้ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดการแย่งชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ มาจาก นายอุตตม สาวนายน และการแย่งชิงตำแหน่งเลขาธิการพรรคพลังประชาชารัฐมาจากนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ โดยมุ่งเป้าไปที่การแย่งชิงตำแหน่งทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังนั้น กลายเป็นผลทำให้คะแนนสนับสนุนรัฐบาลตกฮวบลง เพราะเป็นการแย่งชิงผลประโยชน์ของตัวเอง กลายเป็นประชาชนที่ต้องเสียผลประโยชน์จากการแย่งชิงเก้าอี้ของนักการเมืองในครั้งนี้
เวลานี้ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครสนว่าประชาชนนั้นรู้สึกอย่างไร แรงกระเพื่อมภายในพรรคส่งผลให้พรรคร่วมรัฐบาลต่างห่วงเก้าอี้เดิมที่พรรคตัวเองมีอยู่ เพราะการปรับ ครม. เกิดขึ้นแน่นอน ถึงแม้ว่านักข่าวจะยื่นไมค์จ่อถามเจ้าตัวหัวเรือใหญ่ก็ตอบแต่ “ไม่รู้ ผมไม่รู้” แต่สิ่งที่ประชาชนรู้ดีอยู่แก่ใจคือการแย่งชิงอำนาจในครั้งนี้เกิดขึ้นจากนักการเมืองที่ไม่ได้สนใจความยากลำบากของประชาชน ยิ่งจะทำให้ความเชื่อมั่นของรัฐบาลต่อประชาชนตกต่ำลงไปอีก หลังจากประเทศผ่านวิกฤติโรคระบาดโควิด-19 สิ่งที่ประเทศไทยยังต้องเผชิญยังมีอีกเยอะมาก และเป็นสิ่งที่นักการเมืองต้องออกมารับมือแก้ไข ไม่เพียงแต่ปัญหาเศรษฐกิจเป็นเป็นโจทย์ใหญ่ ยังรวมไปถึงการแสดงออกของประชาชนที่แสดงความไม่พอใจต่อการทำงานของรัฐบาลที่มีทุนเดินมาอยู่แล้ว จะจุดประกาศให้เกิดเป็นอีกโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลจะต้องเผชิญอย่างแน่นอน
You must be logged in to post a comment Login